Sunday, August 3, 2008

สนทนาประสาลุงหมัก 3 ส.ค. 51

ไหมล่ะ ขนาดลุงหมักเองยังยอมรับสารภาพว่า แฟนๆบ่นกันอุบ ที่ครั้งก่อนไม่พูดเรื่องการเมือง เลยออกตัวว่าเดี๋ยวช่วงหลังจะเอามาพูด แต่ตอนนี้ต้องขอสนทนาเรื่องการจัดงาน 12 สิงหาก่อน ว่าแล้วก็ร่ายยาวไปเลย ว่าปีนี้จะจัดงาน 3 วัน คือ 10 11 12 สิงหา สถานที่จัดงานคือที่ลานพระที่นั่งดุสิต แลัวเลยชวนให้ไปชมงานแสดงศิลปแผ่นดินต่อ ในพระที่นั่งอนันตสมาคม

งานถนัดของลุงหมักเขาเลยหละ พาชมงานออกอากาศจนทั่ว แล้วยังโปรโมทหนังสือศิลปแผ่นดิน ที่รวบรวมของดีๆในเมืองไทยมาไว้มากมาย คาดว่าได้พรีเซ็นเตอร์กิตติมศักดิ์ระดับนี้ ต้องมีคนหาหนังสือกันให้ควั่ก แถมงานแสดงปีนี้รับรองได้ว่าคนตรึม

ระหว่างเล่าไป ยังแพล็มเรื่องการเมืองออกมาเป็นระยะๆ เลยต้องหยิบเอามานำเสนอกันตามระเบียบ จะอะไรซะอีก ถ้าไม่ใช่เรื่องพันธมิตร ที่เล่นเอาคนไทยแตกออกเป็น 2 ฝ่าย ขนาดศาลจะตัดสินคดี ยังต้องออกตัวก่อน ว่าตัดสินด้วยความเป็นธรรม ไม่เข้าข้างฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด จริงจริ๊งงงงง....

พูดถึงสำนักสงฆ์ที่ถูกขับออกจากศาสนา แล้วยังไม่ยอมตาย แถมสุดท้ายกลายมาเป็นตัวแสบ แพร่เชื้อไปทั่วประเทศ จากจุดนี้เอง ที่พันธมิตรใช้เป็นฐาน จุดชนวนไปทุกจังหวัด หวังให้เกิดเหตุการณ์อย่างที่อุดร พอได้ที่ก็จะเป่านกหวีด ให้ลุกฮือกันขึ้นมายึดศาลากลาง ทำทางให้ทหารออกมายึดอำนาจ แต่โทษทีงานนี้ทหารไม่เล่นด้วย สุดท้ายเลยไปไม่เป็น

แล้วเรื่องที่อ้างมาต่อต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญนั่น จริงๆก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับอดีตนายกฯซักกะติ๊ด ไม่ใช่กลัวว่าจะแก้ ม.237 190 หรือว่า 309 นั่นหรอก แต่ที่กลัวกันจริงๆจนขนหัวตั้ง ขนหางชี้ก็คือม.63 ที่บัญญัติว่า บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ นอกจากอุปกรณ์กีฬา นั่นแหละ

ถ้าลุงหมักแก้มาตรานี้สำเร็จเมื่อไหร่ รับรองได้ ว่าพวกที่เกะกะอยู่แถวสะพานมัฆวาน ต้องถูกซิวไปเข้าซังเต

แต่ระหว่างที่ยังไม่แก้รัฐธรรมนูญ ก็เอาหมัดแย็ปไปชิมพลางๆก่อน ลุงหมักใช้คำว่าขอบารมีเจ้านายมาดับชนวน ด้วยการจัดงานรณรงค์ 116 วันรู้รักสามัคคีจากวันแม่ถึงวันพ่อ โดยอัญเชิญลูก คือสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชมาเป็นประธาน พระราชทานธงให้ผู้ว่าฯทั่วประเทศ

งานนี้นอกจากจะมีกิจกรรมเดินวิ่งรณรงค์ทั่วประเทศแล้ว ยังจัดจำหน่ายริสต์แบนด์ 1 ล้านชุดถวายสมเด็จพระบรมราชินีนาถ และนอกจากนี้ยังมีกิจกรรมอื่นๆอีกมากมาย ตลอดทั้ง 116 วัน เพื่อร่วมกันรณรงค์ให้คนไทยรักกัน

หมาเลยสิแป๊ะ เจอหมัดฮุกเข้าไปเต็มๆอย่างนี้ คงต้องวิ่งแก้เกมส์กันตีนพลิก เห็นไม๊ล่ะ พอลุงหมักเริ่มจะไฟต์แบ็ค ผู้ชมก็ตกตะลึงตาค้าง บอกแล้วคนอย่างลุงหมัก ไม่ชกก็ไม่ชก แต่ถ้าชกเมื่อไหร่ รับรองได้ว่าหงายเก๋ง คำว่าหอกทมิฬแทงทมิฬนี่ ลุงหมักแกท่องบ่นจนขึ้นใจ

ช่วงท้ายของรายการ ลุงหมักตอบปัญหาจากทางบ้าน ได้ไปหลายฉบับอยู่ ที่เด่นๆก็มีเรื่องที่รัฐบาลก่อนไปยึด ITV มาทำ TPBS คอยขย่มรัฐบาล เรื่องคณะที่ปรึกษาเศรษฐกิจมือเจ๋ง 5 คนที่กำลังจะประกาศออกมา แล้วก็เรื่องที่พรรคฝ่ายค้านไปเซ็นต์ยอมรับแผนที่เขมร ฉบับที่มีปัญหาทำให้ฝ่ายไทยเสียเปรียบ ไม่เห็นมีใครแอะซักกะคน

หลังจบรายการ ผู้สันทัดกรณีต่างดาหน้าออกมาฟันธง ว่าด้วยเรื่องรู้รักสามัคคี 116 วัน งานนี้ใครๆก็ลงความเห็นว่า เรื่องที่พันธแป๊ะจะไม่ม้วนเสื่อฺเก็บฉากนั้น ไม่ต้องไปพูดถึง มาถึงขั้นนี้ยังไงก็รอดยาก สู้วิเคราะห์กันต่อไปดีกว่า ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมมือที่มองไม่เห็น จึงยอมให้ลุงหมักปล่อยหมัดฮุกอย่างสะดวกโยธิน

บ้างก็ตบเข่าฉาด ว่าซื้อหวยไม่ยักถูก คนอย่างแป๊ะมันอันตรายเกินไป ไม่ว่าฝ่ายไหนชนะก็ต้องเคี๊ยะมันทิ้ง นี่แสดงว่ามือที่มองไม่เห็น เปลี่ยนใจไม่ใช้งานมันแล้ว เพราะเลี้ยงไปก็เสียข้าวสุก ดูดน้ำเลี้ยงไปจนเกลี้ยงยังล้มรัฐบาลลุงหมักไม่ได้ อย่างดีี่ที่สุดที่ทำได้ก็แค่เคาะกะลาให้หมาดีใจ

อย่างคราวที่แล้วก็จ่ายไปหลายร้อยล้าน สุดท้ายก็เสียฟรี ต้องมาจ่ายให้อาบังไปอีกหลายพันล้าน เป็นค่าลากรถถังออกมาปิดบัญชี ยังดีว่าล็อตนี้วางบิลเก็บเงินจากประชาชนได้ เคลียร์หนี้จ่ายคืนให้นายทุนตราดอกบัวที่สีลมไป สุดท้ายถึงได้เบาตัว

แต่ทำไปทำมา อาบังก็โหลยโท่ยพอกัน บันไดกี่ขั้นต่อกี่ขั้นบรรลัยวายวอดหมด นั่งเต๊ะจุ๊ยจนเกมส์โอเวอร์ แล้วส่งไม้ต่อไปให้พรรคโบราณ ขานั้นก็ดันเฮงซวยห่วยแตกอีก ขุนเท่าไหร่ก็ไม่ขึ้น สุดท้ายต้องหมุนกลับไปจ้างแป๊ะออกมาป่วนต่ออยู่ดี

แต่เมื่อเร็วๆนี้ หลังจากใช้เคล็ดวิชาตาชั่งวิบัติ ออกหมัดไปหลายชุด บ๊ะ..เข้าท่าไม่หยอก คู่ต่อสู้ถึงกับหน้าแตกเป็นแผลเหวอะ แต่ชกกลับไม่ได้ เพราะกฎกติกาเขาห้ามไว้ คราวนี้ไอเดียเลยปิ๊งปั๊ง ถ้าอย่างนั้นจะจ้างแป๊ะต่อไปทำไมให้เปลืองเงิน

อย่ากระนั้นเลย มาจับมือกับลุงหมัก ร่วมกันกำจัดแป๊ะน่าจะดีกว่า เรียกว่าแบ่งๆกันกิน วินวินทั้งคู่ ทั้งลุงหมักก็แฮ็ปปี้ มือที่มองไม่เห็นก็โล่งอก แต่ฝ่ายประชาธิปไตยนี่สิ ไม่รู้ว่าจะร้องเพลงอะไรดี

เพราะว่างานนี้ หนีเสือปะจระเข้ เข้าไปเต็มเปา

วโรทาห์: 3 ส.ค. 51

No comments: