Thursday, March 24, 2011

รัฐบาลเทพ(รับ)ประทาน

สะบักสะบอมจนแทบไม่เหลือสภาพเป็นผู้เป็นคน แต่ยังอุตส่าห์ลากถูลู่ถูกัง..ไปต่อกันจนได้ เหนือคำบรรยายจริงๆสำหรับรัฐบาลลูกเทวดา ที่หน้าด้านหน้าทนเกินกว่าที่มนุษย์เดินดินกินข้าวแกง อย่างเราๆท่านๆจะจินตนาการได้

ก็ขนาดลากไส้ออกมากองกลางสภาเป็นขดๆ มันยังดิ้นกระแด่วๆ แถกเหงือกกระเสือกกระสนเอาตัวรอดไปน้ำขุ่นๆ ไม่อายฟ้า ไม่อายดิน

"ประเทศไทยโชคดีที่ได้อภิสิทธิ์เป็นนายกฯ...คนนี้ผมเชียร์"

นึกถึงคำๆนี้ขึ้นมาทีไร มันให้เจ็บหัวใจจี๊ดๆ อยากเขกกะโหลกเจ้าเฒ่าจอมเชียร์แขก ที่นานทีปีหนจะปล่อยดอกพิกุลร่วงลงจากเรียวปากสัก 2-3 กลีบ แต่ถ้าหลุดออกมาเมื่อไหร่ เป็นอันรับประกันได้ว่า ต้องเน่าคลุ้งส่งกลิ่นเหม็นโชย จนอ้วกแตกอ้วกแตนไปทั่วบ้านทั่วเมือง

ก่อนหน้านั้นไม่นาน ก็เจ้าเฒ่าหนึ่งเดียวคนนี้นี่เอง ที่เรียกเสียงฮือฮาจากการรับจ๊อบออกแขกให้นายกฯลากตั้งคนก่อน ด้วยวลียอดฮิตที่ว่า "คนๆนี้ยกมือไหว้ได้อย่างสนิทใจ"

เล่นเอาพ่อยกแม่ยกที่หลงไหว้เข้าเต็มเปา ต้องวิ่งแจ้นไปล้างมือแทบไม่ทัน โถ...นึกว่าคนดิบคนดีมาจากไหน ที่แท้ก็"เฒ่ายุทธเขายายเที่ยง" คนที่อมภูเขาเป็นลูกๆแข่งกับนายมัน คนนั้นนั่นเอง

มาถึง"รัฐบาลเทพประทาน" ที่จัดแจงแปลงกายเป็น "รัฐบาลเทพ(รับ)ประทาน" ไปในชั่วพริบตา หลังจากที่บุญพาวาสนาส่ง ท.ทหารอดทนอุ้มกระเตงใส่ตะกร้าล้างน้ำ แบกขึ้นวอไปนั่งแท่นกินบ้านกินเมืองได้ไม่นาน เรียกว่าตดยังไม่ทันหายเหม็น กฎเหล็ก 9 ข้อยังท่องจำได้ไม่หมดด้วยซ้ำไป

"ไม่มีอะไรภายใต้ดวงอาทิตย์นี้ ที่เราแหลกม่ายล่าย" กลายเป็นสโลแกนท็อปฮิตติดชาร์ท สำหรับรัฐบาลผสม เสือสิงห์กระทิงแรด เหี้ยห่าสารพัดสัตว์ ที่สวาปาล์มกันไม่เลือก ตั้งแต่ปลากระป๋องเน่า นมบูด ไปจนถึงรถถังซังกะบ๊วย เรือเหาะเซียงกง ยันไม้ส่องผี "จีที-200"

แล้วอย่างนี้ยังมีอะไรอีกที่...เราม่ายล่ายแหลก

หลังจากที่อดอยากปากแห้งมานานแสนนาน ก็ถึงเวลาของบุฟเฟ่ท์คาบิเน็ต 30% อ๊อฟ ใครใคร่ยัด..ยัด ใครใคร่แดก..แดก เอากันให้พุงปลิ้น ฟาดกันให้ปากมัน ล่อแม่มันกลางวันแสกๆ ไม่ต้องกลัวใครพบ ไม่ต้องกลัวใครเห็น พ่อกูใหญ่ซะอย่าง ชาวบ้านจะไปทำอะไรได้ นอกจากยืนมองทำตาปริบๆ

ไหนๆก็ไหนๆแล้ว น่าจะจัดสอบชิงทุน สปก.4-01 อีกซักกระทอก ให้มันลือลั่นไปชั่วลูก หลาน เหลนซะ ให้รู้แล้วรู้รอด

แต่ถึงยังไง ผลงานการงาบระดับนี้ ก็ต้องถือว่าเข้าขั้นเทพ อย่างไม่มีข้อสงสัย ว่ากันว่า ถึงขนาดทำลายสถิติตลอดกาลของตอแหลแลนด์อย่างย่อยยับ กินขาดทุกรัฐบาลที่ผ่านมา ไม่เว้นแม้แต่รัฐบาลเผด็จการทหาร ซึ่งถือเป็นจอมงาบระดับตำนานของโลกมาทุกยุคทุกสมัย

ไม่ต้องไปหาใบส่งใบเสร็จให้มันเมื่อยตุ้ม อภิมหากาพย์การงาบระดับนี้ ย่อมไม่ใช่เรื่องยากที่ประชาชนจะสามารถจับต้องได้ด้วยตัวเอง สุดยอดผลงานขนาดนี้ย่อมบาดลึกไปถึงกึ๋น และเจ็บกว้างไปทุกหย่อมหญ้า

แม้สื่อขี้ข้าทั้งหลายจะพยายามเจือจางด้วยน้ำยาขัดโถส้วมยี่ห้อ "คุณชายสะอาด" แต่ประชาชนที่ไม่ได้บริโภคหญ้าเป็นอาหารหลัก ย่อมมีวิจารณญาณพอ ที่จะชี้ขาดได้ว่า อะไรเป็นอะไร

"คุณชายสะอาด" ของสื่อตอแหล จึงกลายเป็น "คุณชายมอมแมม" ของประชาชน โดยไม่ต้องอาศัยการโฆษณาชวนเชื่อ แม้แต่น้อย

นับเป็นความชาญฉลาดของระบอบอำมาตย์ ในการเลือกเฟ้นนกกระสามาปกครองฝูงกบในสระน้อย คุณไม่ต้องพกความทะเยอทะยานอยากมา เพราะพวกเผด็จการมีมันมากพออยู่แล้ว ขอเพียงคุณมีความง่าน ถึงขนาดอยากเป็นนายกฯจนตัวสั่น และตอแหลลงตับขนาดได้โล่ห์ยิ่งดี แค่นี้คุณก็เป็นนายกฯของเราได้ อย่างสบายๆ

นอกจากชวนป๋วยเป่าปี่กู ผู้ไม่เคยเลี้ยงกาแฟใครแล้ว กราดสายตาไปทั่วทั้งปฐพี ยากที่จะหาผู้ใดส่องประกายรัศมีตอแหลเจิดจ้า แม้เพียงเศษเสี้ยวของมาร์คได้ จึงไม่ใช่เรื่องแปลก ที่สุดท้ายแล้วเขาจะพบสัจธรรม หลังจากที่ดิ้นรนมาแทบตายว่า ถ้าคุณมีโทษสมบัติพร้อม ประตูสู่นายกฯ ก็ไม่ไกลเกินไปกว่าประตู "ร้านราบ 11"

จากหนุ่มนักเรียนนอกไฟแรง ที่ถูกตาเฒ่าชวนไล่ให้กลับไปดูดนม ก่อนมาแสดงความคิดเห็นสวนทวารผู้หลักผู้ใหญ่ หลังจากนั้นก็ไม่มีใครรู้ว่า เขาแอบไปดูดนมอะไรมา ถึงได้มีอินทรีย์แก่กล้าทันตาเห็น ชนิดที่ซาตานยังขยาด ปีศาจยังต้องชิดซ้าย ถ้าศรีธนญชัยไม่หักหลบลงคู เป็นได้โดนบี้แบนติดถนน อย่างไม่ต้องสงสัย

ชีวิตในวัยเยาว์ของเขา ก็ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ เหมือนรถปิคอัพทั่วๆไป ที่มีความใฝ่ฝันอันบรรเจิดว่า เมื่อโตขึ้นเขาจะเป็นรถบรรทุก ไม่ใช่เพราะว่ารถคันใหญ่บรรทุกได้มาก ทำประโยชน์ได้เยอะ แต่หลักใหญ่ใจความอยู่ที่ว่ามันเท่ห์ดี เป็นศักดิ์เป็นศรีแก่วงศ์ตระกูล

ด้วยโทษสมบัติ โกหกน้ำไหลไฟดับ อันเป็นพรนรกที่มีติดตัวมาแต่อ้อนแต่ออก เขาได้พัฒนาตัวเองจนก้าวขึ้นสู่ ความเป็นมนุษย์โพเดียม ที่ไม่มีการพูดเท็จอีกต่อไป

จากหลักปรัชญาที่ว่า ถ้าคุณโกหกได้มากพอ และด้วยอัตราความถี่ที่เหมาะสม คุณจะสามารถทำให้ตัวเองเชื่ออย่างสนิทใจ ว่ามันเป็นความจริง และเมื่อนั้นคุณจะไม่ใช่คนโกหกอีกต่อไป เพราะคุณจะพูดแต่ความจริงที่คุณเชื่อ และจะเชื่อทุกสิ่งที่คุณพูด

สุดท้าย คุณจะพบสัจธรรมอันน่าแปลกใจว่า คนทั้งโลกยกเว้นคุณ...ล้วนพูดเท็จเป็นอาจิณ

เมื่อคุณบรรลุธรรมถึงขั้นสุดยอด จนสามารถโกหกได้แม้กระทั่งตัวเองแล้ว ต่อไปไม่ว่าเรื่องชั่วช้าแค่ไหน คุณก็สามารถทำมันได้ โดยไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจแม้แต่น้อย แล้วอย่างนี้ ทำไมจะไม่ใช่เรื่องน่ายินดี ที่อำมาตย์ได้อภิสิทธิ์มาเป็นนายกฯ

และสองปีบนเก้าอี้อันยิ่งใหญ่ อภิสิทธิ์ก็ไม่เคยทำให้ประชาชนต้องผิดหวังแม้แต่น้อย นโยบายประชาวิบัติ ประชาชนต้องตายก่อน เปิดโอกาสให้ชาวบ้านตาดำๆได้สัมผัสกับปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงอย่างลึกซึ้ง ได้เรียนรู้อย่างเจ็บปวดว่า น้ำมันพืชหนึ่งขวดนั้น มันมีค่าขนาดไหน

ยายเมี้ยนคนขายกล้วยแขก เพิ่งได้สำเหนียกว่า การทอดกล้วยแขกขายทุกวันนั้น ถือเป็นการละโมบอย่างไม่น่าให้อภัย ภายใต้รัฐบาลนี้ แกจึงต้องรู้จักกระเหม็ดกระแหม่ ขายวันเว้นไป 2-3 วัน ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ตลาดโลกว่า จะมีน้ำมันปาล์มกระเส็นกระสายมาถึงมือแกเมื่อไหร่

เมื่อรัฐบาลที่อำมาตย์หวังฝากผีฝากไข้ ให้ช่วยกวาดต้อนประชาชนกลับเข้าคอกตามเดิม กลับเปิดฉากรุกไล่อย่างหนัก ทำให้พวกเขาต้องถอยร่นไปจนสุดซอย งานนี้จึงมีทีท่าว่าจะดูไม่จืด เมื่อมหาชนหันกลับมาตั้งป้อมเผชิญสู้ อย่างสุนัขจนตรอก

ระยะแรกพวกเขาอาจจะยังมะงุมมะงาหรา ทำให้ถูกฆ่าตายไป 91 ศพ บาดเจ็บร่วม 2,000 แต่ไม่นานประชาชนก็คลำทางถูก และเริ่มเปิดฉากตีโต้อย่างได้ผล ไม่ต้องใช้สไนเปอร์ ไม่ต้องมีแม้แต่หนังสติ๊ค ขึ้นชื่อว่ามหาชนย่อมน่าเกรงขามเสมอ แค่ขี่จักรยานเล่นเป็นกลุ่มก้อน ก็ทำเอาอำมาตย์ถึงกับนอนผวาไปแปดตลบแล้ว

เป้าหมายต่อไปคือด่าน 112 อันเป็นจุดสลบของระบอบอำมาตย์ ว่ากันว่า มันคือปราการด่านแรกที่ฝ่ายประชาชนต้องตีให้แตก แต่ขณะเดียวกัน มันก็เป็นปราการด่านสุดท้าย ที่ฝ่ายเผด็จการต้องรักษาไว้ให้มั่น

เมื่อทั้งสองฝ่ายจำต้องรุกไปข้างหน้า จึงมีความเป็นไปได้สูงว่า อาจจำต้องรบพุ่งประจัญบาน ถึงขั้นติดดาบปลายปืน เพราะว่าเดิมพันมันสูงอย่างไม่น่าเชื่อ

ถ้าไม่มีด่าน 112 ซะอย่าง ระบอบอำมาตย์ก็พังทั้งแถบ

วโรทาห์: 24 มี.ค. 54

Monday, February 28, 2011

เรื่องโง่ๆ ยังวางใจอำมาตย์ได้เสมอ

อะไรเอ่ย? ผู้คนเข้าๆออกๆอย่างกับห้างฯแต่ไม่ใช่ห้างฯ...คำตอบก็คือ "คุกประเทศไทย" ตายแลนด์ แดนแห่งคนตอแหล ในยุคที่มีนายกฯเป็นนอมินีทรราช คนที่มีสองสัญชาติแต่ถือสันดานเดียวคือ...สันดานขี้ข้าอำมาตย์

ตกฟากในประเทศแม่แบบประชาธิปไตย แต่ฝักใฝ่เผด็จการโคตรๆ

จะมียุคไหนสมัยใดอีก ที่คนไทยได้รับแจกตั๋วไปทัวร์ห้องกรงอย่างไม่บันยะบันยัง ดังเช่นยุคที่"พรรคประชาวิบัติ"ครองเมือง จ้างให้ก็ไม่มีวันนี้ ถ้าประเทศไทยไม่โชคดีได้อภิสิทธิ์มาเป็นนายกฯ และถ้าไม่ใช่รัฐบาลประชาธิปไตย ที่สุมหัวกันจัดตั้งในค่ายทหาร มีหรือที่เราจะได้โปรโมชั่นกินฟรี อยู่ฟรี

แถมยังพาทัวร์ขึ้นศาลลงศาลทั่วราชอาณาจักรเป็นระยะๆ โดยไม่ต้องควักเนื้อจ่ายเองแม้แต่บาทเดียว

อะไรไม่ว่า บริการนี้ยังอุตส่าห์มี 2 มาตรฐาน จัดการประเคนให้คนเสื้อแดงเป็นการเฉพาะ โดยไม่สนใจหางเหลืองที่ได้แต่ยืนสี่ขาทำตาปริบๆ ก็ขนาดว่า กรุ๊ปทัวร์ 7 นปช.ยังไม่ทันหมดโปรโมชั่นดี ลุงสุรชัยก็ได้วีซ่าฉายเดี่ยวเข้าเสียบแทน ชนิดทันทีทันควัน อย่างกับเตี๊ยมกันมา ยังไงยังงั้น

ฝ่ายหนึ่งออก ฝ่ายหนึ่งเข้า รับไม้ต่อกันอย่างพอดิบพอดีไม่มีขาดช่วง ถ้าจะบอกว่าเดินพาเหรดสวนสนามกันหน้าคุกเลย ก็คงจะไม่ผิด แล้วอย่างนี้ มีหรือที่จะไม่กลายเป็นขี้ปากให้ฮือฮาซี๊ดซ๊าด อ่านหมากกันยกใหญ่ ว่าอำมาตย์เล่นไม้นี้ มันจะมาไม้ไหน

ธรรมชาติของคนเสื้อแดงนั้น ย่อมใช้สมองมากกว่ากำลัง จึงเป็นเหตุให้คิดไม่ค่อยทันอำมาตย์ เพราะกระบวนการคิดของพวกเผด็จการนั้น มันเรียบง่ายสุดๆ ประดุจดังใช้หัวแม่เท้าคิดก็ว่าได้ คือนึกอยากจะทำอะไรมันก็ทำ เห็นอะไรแว๊บๆมันก็ตอบโต้ออกไปทันที โดยไม่ต้องคิดหน้าคิดหลังให้รอบคอบเสียก่อน

เป็นธรรมดาที่ว่า คนมีปืนย่อมใช้ปืนเป็นอาวุธหลัก คนมีอำนาจย่อมยึดเอาอำนาจเป็นสรณะ แล้วมีหรือที่อำมาตย์ซึ่งเพียบพร้อมทั้งอำนาจและปืน จะยังมัวมะงุมมะงาหลา ตุ้มต๊ะตุ้มตุ้ยลุยถั่ว ใช้ปัญญาเป็นอาวุธอยู่ได้

จะมีก็แต่ประชาชนมือเปล่าเท่านั้น ที่ด้อยโอกาสทางอำนาจ จึงจำต้องใช้สติปัญญามาต่อกรกับสไนเปอร์

อันมนุษย์เรานั้น ไม่ว่าจะคิดอ่านทำการสิ่งใด ก็มักจะเอาตัวเองเป็นตัวตั้งเสมอ คนฉลาดจึงมักจะคิดว่าคนอื่นฉลาดเหมือนตัว ในขณะที่คนโง่ก็คิดว่าคนอื่นคงโง่ไม่แพ้กันซักเท่าไหร่ ไม่งั้นมีหรือที่พวกอำมาตย์ จะเดินแผนผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำอีก จนทำให้มีวันนี้จนได้

วันที่โคตรอำมาตย์ต้องมาลุ้นระทึกว่า เมื่อไหร่อียิปต์โมเดลจะมาถึงตัวเองและวงศ์ตระกูล

เพราะความโง่ตัวเดียวแท้ๆ ที่ทำเกมพลิกผันจากรุกเป็นรับ กลายเป็นรบมั่วไปหมด จากไล่บี้ทักษิณ กลายเป็นหันมาล่อเละกับประชาชน จาก 6 ตุลา ไล่ทุบนักศึกษา กลายเป็น 19 พฤษภา ไล่ยิงผู้ปกครอง แนวโน้มเห็นได้ชัดเจนว่า กำลังเดินหน้าสู่หายนะโดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

แต่จนแล้วจนรอด จนถึงป่านนี้ ก็ยังไม่เคยสำนึกได้ซักทีว่า ตัวเองทำอะไรโง่ๆลงไปบ้าง ใครกันที่อนุมัติให้ทำรัฐประหาร จนพาประเทศดิ่งเหว โงหัวไม่ขึ้นจนถึงทุกวันนี้ ใครกันที่ส่งซิกส์ให้ฆ่าหมู่ประชาชน จนตาสว่างกันไปทั่วบ้านทั่วเมือง แล้วยังมาทำลอยหน้าลอยตา บ่ฮู้บ่หัน บ่ใช่คนแถวนี้

แล้วแทนที่ว่า ไหนๆก็รั้งเอาไว้ไม่อยู่แล้ว ก็น่าจะปล่อยแกนนำเขาไปแต่โดยดี แต่นี่ดันหันไปแว้งกัดลุงสุรชัยเข้าให้อีก กลายเป็นอีกหนึ่งความโง่ ที่ไปช่วยอัพเกรดให้ลุงแก โดยไม่ต้องร้องขอ

คงจำกันได้ว่า ก่อน 19 พฤษภา "วันสไนเปอร์แห่งชาติ" ตอนนั้นลุงสุรชัยยังไม่มีราคาค่างวดซักเท่าไหร่ พูดอะไรก็ไม่ค่อยมีใครสนใจฟัง แม้จะตะโกนเสียงดังจนแก้วหูแทบแตกว่า "ถ้าไม่ไปเชียงใหม่ ก็เหมือนไม่ได้ประชาธิปไตยที่แท้จริง" คนส่วนใหญ่ก็ยังยืนกรานเดินตามสามเกลอ ลงแค่นครสวรรค์ก็พอถมถืด

ดีที่ว่า งานนั้นอัศวินม้าขาวเขาถือดีอวดเด่น ไม่เล่นตามคิวที่สามเกลอบรรจงใส่พานถวายให้ ไม่งั้นมีหวังคนเสื้อแดงต้องหลงเหลี่ยมผิดคู ล่อผิดตัว เล่นผิดคนไปกันยกใหญ่ บังเอิญว่าอำมาตย์ยังโง่เสมอต้นเสมอปลายไม่สร่างซา จึงเลือกที่จะเล่นบทโหด "มาหมื่นตายหมื่น มาแสนตายแสน"

เรื่องถึงได้บานปลายขายปลาช่อน ปิดหีบไม่ลงมาจนตราบเท่าทุกวันนี้

มวลชนที่กำลังละล้าละลัง เอาดีไม่เอาดี พอโดนกระสุนความเร็วสูงเข้าเท่านั้น ก็สามัคคีกันโดดกลับขึ้นรถไฟแทบไม่ทัน คราวนี้เอาไงเอากัน ต่อให้ตีตั๋วยืน ก็ต้องขอจองกฐินไปถล่มเชียงใหม่ให้ได้ ขนาดคนแก่ใกล้ตาย ยังไม่วายกุลีกุจอขอต่อวีซ่ากับพญายม เพื่อสืบสานปณิธานอันแน่วแน่ว่า "กูจะอยู่ ดูมึงตาย"

มีอย่างที่ไหน คนเคยเคารพนบไหว้กันมาแท้ๆ ไม่นึกว่าจะกลับกลายเป็น "โหดที่สุดคือเฮีย เฮี่ยที่สุดคือซ้อ"

เมื่อมวลชนลงความเห็นเป็นเอกฉันท์ว่า จะไปแอ่วเจี๋ยงใหม่กัน เท่านั้นแหละ ลุงสุรชัยในฐานะโชเฟอร์มือหนึ่ง ก็ดูมีน้ำมีนวลขึ้นมาทันตาเห็น คราวนี้ไม่ว่าแกจะขยับปากพูดอะไรออกมา ประชาชนเป็นต้องเงี่ยหูฟัง ไม่ว่าแกจะขยับก้นไปทางไหน สันติบาลเป็นต้องคลานตาม อย่างกับสุนัขได้กลิ่นอุจจาระ ยังไงยังงั้น

แล้วหลังๆมานี่แกก็ขยันพูดซะจัง พูดได้พูดดีอย่างกับผีเจาะปาก พูดทีไรเป็นต้องบาดลึกเข้าเนื้ออำมาตย์ เล่นซะเหวอะหวะถึงกระดูกดำทุกครั้งไป

ถ้าไม่ตัดไฟเสียแต่ต้นลม มีหวังว่าประชาชนได้ตาสว่างโร่เป็นตาตั๊กแตนไปทั่วประเทศ สมุนอำมาตย์จึงต้องหาวันเหมาะๆ ตัดสินใจเข้าชาร์จ พาลุงแกไปเข้าคุก หวังฆ่าตัดตอนไม่ให้แกได้พูดอีกต่อไป เพราะว่าในคุกนั้น "พูดได้แต่ห้ามใช้เสียง คิดได้แต่ห้ามเขียนออกมา"

การปิดปากฝ่ายตรงข้ามนั้น ถือเป็นยุทธวิธีที่ทันสมัยมากเมื่อกว่า 60 ปีก่อน ในยุคที่การส่งเสียงตามสาย ยังถือเป็นนวัตกรรมแห่งอนาคต อันเป็นความหวังของมวลมนุษยชาติ แต่ข้อเสียของมันก็มี คือเมื่อเผยแพร่ออกสู่สาธารณะแล้ว ก็จะอันตรธานหายไปกับสายลม ดังนั้นถ้าเพียงแค่ตัดตอนไม่ให้พูดซ้ำได้อีก ทุกอย่างก็จะเงียบกริบอย่างกับเป่าสาก

อาจจะเพราะว่าอำมาตย์ยังมุดรูอยู่ จึงไม่รู้ว่านี่คือปี 2011 ยุคที่เสียงทั้งหมดสามารถบันทึกเอาไว้เป็นคลิป และส่งต่อกันไปได้ ง่ายกว่าแจกขนม ดังนั้นการที่ลุงสุรชัยหุบปาก จึงไม่ได้หมายความว่าแกหยุดพูด เพราะว่าคลิปที่แพร่ไปเรื่อยๆมันไม่ยอมหยุดด้วย แถมการจับแกยังเป็นการไปกระตุกต่อมอยาก ให้ชาวบ้านเสาะแสวงหามาฟังกันยกใหญ่

จะได้ช่วยกันวิเคาะวิแคะแกะเกาว่า เพราะเหตุใดลุงแกจึงได้รับเกียรติถึงปานนั้น

การอุ้มลุงสุรชัยไปเก็บ ก็แค่ทำให้ไม่มีคลิปใหม่ออกมาเสิร์ฟเท่านั้น แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหา เพราะสิ่งที่อยากจะพูด ลุงแกก็ได้พูดออกมาจนหมดเปลือกแล้ว ถึงจะปล่อยให้พูดต่อไปอีก มันก็คงวนเวียนซ้ำซากเหมือนเดิม ไม่มีอะไรใหม่ไปกว่านั้นอีก นับได้ว่า อำมาตย์ตัดสินใจช้าไปหนึ่งก้าว..อีกแล้วครับท่าน

เป็นเรื่องปกติของคนโง่อยู่แล้ว ที่เรื่องดีๆมักจะช้าไปหนึ่งก้าว เรื่องร้ายๆจะเร็วไปหนึ่งก้าว แต่ถ้าเป็นเรื่องฉิบหายแล้ว มักจะมาถูกที่ถูกเวลาเสมอ

กล่าวฝ่ายลุงสุรชัยที่กำลังนั่งซดโอเลี้ยงเพลินจนพุงกาง การที่แกตัดสินใจ "วอน นอน คุก" อย่างนั้น ย่อมไม่ใช่เหตุรู้เท่าไม่ถึงการณ์อยู่แล้ว นักปฏิวัติระดับแถวหน้าขนาดนั้น ทำไมจะไม่รู้ว่าตัวเองพูดอะไรออกไป แล้วการที่พูดออกไปอย่างนั้น ก็คงไม่คาดหวังว่า จะได้รับการประกาศเกียรติคุณจากอำมาตย์เป็นแน่แท้

เพียงแต่ว่า ถ้าไม่พูดอย่างที่ว่า ก็สู้นอนเกาพุงอยู่ที่บ้าน ยังจะมันซะกว่า

นักรบเดนตายอย่างลุงสุรชัย การที่ยังมีลมหายใจอยู่ทุกวันนี้ ถือเป็นโบนัสทั้งนั้น ถ้านับจากวันที่รอดปากเหยี่ยวปากกามาได้ในอดีต แกฟาดกำไรชีวิตไปแล้วไม่รู้เท่าไหร่ ชีพจรสุดท้ายในบั้นปลายชีวิตที่เหลืออยู่ไม่มาก

ถ้าจะเจียดมาวางเดิมพันล้มเจ้า(มือ)ซักเล็กน้อย...จะเป็นไปไรไป

วโรทาห์: 28 ก.พ. 54

Wednesday, September 8, 2010

การเมืองใหม่มาแรง แต่เพื่อไทยเลือดไหลไม่หยุด(ฮา)

หลังจากเกิดอุบัติเหตุ รถบรรทุกแห้วคว่ำ ในสนามเลือกตั้งสก.สข.กทม. เมื่อวันอาทิตย์ที่ 29 สิงหาคมที่ผ่านมา ความเซ็งก็แผ่ซ่านไปถ้วนทั่ว ในมวลหมู่นักกู้ซากทั้งหลาย ตั้งแต่หัวยันหาง ยันกลางตลอดตัว ต่างก้มหน้าก้มตาฟาดแห้วกัน อย่างเอาเป็นเอาตาย

เวรกรรม..คว่ำที่ไหนไม่คว่ำ ดันมาคว่ำใส่พรรคการเมืองใหม่ ที่ชั่วโมงนี้ ฟอร์มกำลังสด เหลือกำลังลาก

สดไม่สด ก็ขนาดพกความมั่นใจมาเต็มร้อย ฟิตกันเต็มถัง ใส่กันเต็มสูบ กรุงเทพฯ..ทราบแล้ว..เปลี่ยน งานนี้ไม่หมู่ก็จ่า ยังไงก็ต้องเห็นหน้าเห็นหลัง จึงไม่ได้เผื่อใจไว้แม้แต่น้อยนิด สำหรับผลตอบรับที่อาจจะเกินคาดหมายไป หลายกิโลขีด

มีอย่างที่ไหน พอเปิดซิงงานแรกก็ทำนิวโลว์เข้าให้ หลงจ้งเก๋าเจ้ง ได้รับความไว้วางใจให้เข้าสภาไป"ศูนย์"หน่อ

ขนาดแถวตลาดเก่าเยาวราช ถิ่นของอาอึ้มอาม่า อาเฮียอากู๋ อาเจ็กอาแปะ ลูกจีนกู้ชาติ กากี่นั้งแท้ๆ พอเอาเข้าจริง ไม่รู้หายหัวไปมุดรูกู้ซากอยู่หนไหน ถึงได้แปรเป็นผลคะแนนออกมาหร็อมแหร็ม พอๆกับขนจั๊กกะแร้ ของอาหมวยวัยเอ๊าะ

ถ้ารู้อย่างนี้ซะแต่แรก เรื่องอะไรแป๊ะจะไปยอมตระบัดสัตย์ ให้พ่อแม่พี่น้องเอารองเท้ามาลูบหน้า ให้มันเสียหมากันเล่นๆ ใครจะไปรู้ว่า คนที่เคยแห่มาให้กำลังใจ ร่วมเป็นร่วมตาย ร่วมเฮี่ยมาด้วยกัน จะกลับหลังหัน ไปเลือกพรรคแมงกะจั๊วกันเป็นแถว

หมดกัน..หลงฝันเปียกมาตั้งนาน ว่าที่เห็นโพกหัวกู้ชาติ เขย่ามือตบกันเย้วๆ ไปไหนไปกัน ยึดไหนยึดนั่น ที่แท้ก็พลพรรคแมลงสาบทั้งนั้น ที่ส่งมาหลอกแป๊ะให้ช่วยไล่ ทำลายล้างศัตรูทางการเมือง พอเสร็จสมอารมณ์มหาย ก็ถีบแป๊ะตกเตียงหงายเก๋ง..หายโง่เป็นปลิดทิ้ง

สรุปว่า..กรุงเทพฯ..ทราบแล้ว..เจ๊งงงงงง

หันรีหันขวาง ไม่รู้ว่าจะโทษใครดี ก็คงต้องชี้นิ้วไปที่พลังเงียบไว้ก่อน เห็นบอกว่า ฝ่ายกุมอำนาจมันเล่นเลือกตั้งกันเงียบๆ ทำให้พลังเงียบไม่ออกมาเท่าที่ควร ทำอย่างกับว่า ถ้าพลัง
เงียบออกมาแล้ว เขาจะเลือกพรรคของแป๊ะ อย่างนั้นแหละ

ทำเป็นเล่นไป ถ้าพลังเงียบออกมา อาจจะเงียบกว่านี้ก็เป็นได้ ใครจะไปรู้

หลังจากที่ฟาดแห้วจนหายอยาก ก็ได้เวลาหันมาฟาดปากกันเอง เมื่ออาแปะลิ้มซ่งติงเริ่มหันมาเฉ่งอากงสมสากเคราแพะ หาว่าสง่าราศีไม่แพ้พวกเกี๋ยวกุ้ยข้างถนน พูดง่ายๆว่าน่าจะเป็นหัวหน้ากรรมกร มากกว่าที่จะมาเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองของคนชั้นกลาง

คาดว่างานนี้คงได้มีเรื่องให้ลุ้นเสียวกันอีกยาว สำหรับอาซิ้มอาซ้อที่คาดหวังไว้เต็มเปี่ยมว่า จะได้การเมืองใหม่ ประชาธิปไตยจ๋า 70/30

คงต้องฟาดแห้วรอกันอีกหลายชาติ

ผิดกับพรรคเพื่อไทยที่ได้รับการหนุนหลังอย่างล้นหลาม จากมวลชนคนเสื้อแดงที่โตวันโตคืน ขนาดโดนถลุงจนเป๋ไปเป๋มา ก็ยังทรงตัวอยู่ได้ไม่มีปัญหา เลือกตั้งทีไรคะแนนเสียงก็
มาเป็นกอบเป็นกำ ต่อให้ถูกแมลงสาบโกงจนเข้าวิน ยังตามหายใจรดต้นคอ ให้ได้เสียวซ่านไปถึงรูทวารทั้งเจ็ด

กลายเป็นหนามยอกอกชิ้นใหญ่ของพวกอำมาตย์ ที่อยากจะสับเนื้อเป็นชิ้นๆ แต่ก็ทำได้เพียงแค่คอยแช่งชักหักกระดูก แล้วก็แสดงพลังดูดกันอย่างหน้าด้านๆ ขนาดดูดได้แค่โสเภณี
2 นาง ที่แพ็คคู่เป็นแพ็คเกจ ก็ตีปีกดีใจว่าเพื่อไทยเลือดไหลไม่หยุด หารู้ไม่ว่า เขาสาปส่งกันทั้งบาง

เลือดชั่วๆ! ไหลออกไปอยู่กับพรรคชั่วๆ! มันก็สมควรแล้ว

วโรทาห์: 8 ก.ย. 53

Monday, September 6, 2010

มียาดีมาฝากป้าอุ๊

ยอมรับเลยว่า ผมนั้นเสล่อมากที่ไม่รู้จักป้าอุ๊ แต่กลับคุ้นเคยดีกับนามแฝง "thaitiger" ในประชาไท เหตุเพราะได้แอบอ่านข่าวสารการเมือง ที่ท่านคัดสรรบรรจงคีย์ใส่คอมพ์ มาให้พวกเราได้อ่านกันทุกเช้า นับเป็นความเสียสละอันใหญ่หลวง อย่างประมาณค่ามิได้

ก็แน่หละ จะมีคนไทยสักกี่คน ที่ทนอ่านสื่อสวะพวกนั้นได้ ถ้าไม่ใช่ป้าอุ๊

พอได้ข่าวว่าป้าอุ๊ผู้มีจิตใจอันงดงาม ต้องมาป่วยเป็นมะเร็งขั้นร้ายแรง ก็เล่นเอาใจหายวาบ นึกไม่ถึงว่า ขนาดบุญกุศลที่สั่งสมมาถึงเพียงนี้ ยังไม่สามารถคุ้มครอง "พี่ผู้มีแต่ให้" ของพวกเราได้

เป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์ว่า สวรรค์ไม่ได้มีตาอย่างที่เราเคยเข้าใจกัน จึงอย่าได้คาดหวังว่า ทำดีแล้วจะมีเทวดามาปกปักรักษา เพราะแม้แต่เทวดาเองยังเจียนอยู่เจียนไป สิ้นบุญเมื่อไหร่ก็ดิ่งนรกตกเหว ไม่ได้ผุดได้เกิดเป็นเหมือนกัน

บังเอิญวันนี้ได้อ่านหนังสือที่เขียนโดยท่าน"อาจารย์พรหม" ซึ่งเป็นชาวอังกฤษ ที่มาบวชเป็นพระป่า ในสายของท่านอาจารย์ชา สุภัทโท ในบทที่พูดถึงการระงับความปวดโดยไม่ต้องพึ่งยา ซึ่งได้ผลชะงัดนัก

จึงเห็นช่องว่า เป็นโอกาสดีที่จะได้คัดลอกมาให้คุณป้าได้อ่าน เป็นการตอบแทน ที่ท่านอุตส่าห์นั่งหลังขดหลังแข็ง คีย์คอมพ์ให้พวกเราได้เสพข่าวมาตั้งนานนม

เพราะว่าคนเรานั้น เมื่อเจ็บป่วยขึ้นมา การเยียวยารักษาก็เป็นเรื่องหนึ่ง ส่วนอีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากันแม้แต่น้อย คือการเรียนรู้ที่จะรับมือกับมันอย่างถูกต้อง ข้อเขียนของท่านอาจารย์จะช่วยได้มากในเรื่องหลังนี้

แถมถ้าปฏิบัติได้ดีพอ ถึงยังไม่หายขาด ก็จะสามารถมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้

หวังว่า คุณป้าจะได้อ่านบทความนี้ รวมทั้งท่านอื่นๆ ไม่ว่าจะเจ็บป่วยอยู่หรือไม่ก็ตาม ถ้าได้อ่าน ได้ทำความเข้าใจ และลงมือปฏิบัติ จนถึงขั้น 'ปล่อยวาง' ได้จริงๆ คงต้องได้รับประโยชน์บ้าง ไม่มากก็น้อย

อานิสงส์จากการเผยแพร่ธรรมะนี้ ขอมอบให้คุณป้าทั้งหมด เพื่อเป็นกำลังใจในการรับมือกับโรคร้ายนี้

และขอให้ท่านหายไวๆ เพื่อเป็นกำลังใจให้พวกเราต่อไป

----------------------

@ กลัวความเจ็บปวด @

ความกลัวเป็นส่วนประกอบสำคัญของความเจ็บปวด มันทำให้ความเจ็บปวดเป็นทุกข์ยิ่งขึ้น ถ้าตัดความกลัวออกเสีย ก็จะเหลือแต่ความรู้สึกเจ็บจริงๆเท่านั้น เมื่อประมาณปีพ.ศ.๒๕๒๐ ที่วัดป่าที่แสนจะยากจนและอยู่ห่างไกลชุมชนในภาคอีสานของไทย อาตมาเกิดปวดฟันอย่างหนัก ที่นั่นไม่มีหมอฟันที่จะไปให้รักษา ไม่มีโทรศัพท์และไม่มีไฟฟ้า ไม่มียาแอสไพริน ยาพารา หรือยาแก้ปวดใดๆ ในตู้ยา พระป่าต้องอดทน

เช่นที่เกิดเสมอๆ กับอาการเจ็บไข้ได้ป่วย ในช่วงหัวค่ำอาการปวดฟันของอาตมาก็กำเริบหนักขี้นเรื่อยๆ อาตมาเห็นว่าตนเองเป็นพระที่ค่อนข้างจะอดทนองค์หนึ่ง แต่อาการปวดฟันนี่มันช่างทดสอบความเข้มแข็งของอาตมาเสียจริงๆ ปากข้างหนึ่งของอาตมาอัดแน่นไปด้วยความเจ็บปวด มันเป็นการปวดฟันที่หนักหนาสากรรจ์ที่สุดเท่าที่อาตมาเคยประสบมาในชีวิต อาตมาพยายามจะหนีจากความเจ็บปวดด้วยการภาวนา อาตมาเคยเรียนรู้ที่จะกำหนดอยู่กับลมหายใจขณะที่กำลังถูกยุงรุมกัด บางครั้งอาตมานับได้ถึงสี่สิบตัวบนร่างของอาตมา และอาตมาก็เคยเอาชนะอารมณ์หนึ่งด้วยการจดจ่ออยู่ที่สิ่งอื่น แต่ความเจ็บปวดครั้งนี้มันเหลือเชื่อจริงๆ อาตมาสามารถจดจ่ออยู่กับลมหายใจได้เพียงสองสามวินาทีเท่านั้น เจ้าความเจ็บปวดก็เตะประตูจิตที่อาตมาพยายามปิดไว้เข้ามาอาละวาดอย่างรุนแรงทีเดียว

อาตมาลุกขึ้นออกไปพยายามเดินจงกรมข้างนอก ในไม่ช้าก็ต้องยกเลิกการเดินจงกรมเช่นกัน อาตมาไม่ได้ 'เดินจงกรม' แต่อาตมากำลัง 'วิ่งจงกรม' อาตมาไม่สามารถเดินช้าๆ อย่างมีสติ เจ้าความเจ็บปวดมันบังคับอาตมาให้วิ่ง แต่ก็ไม่รู้จะวิ่งไปไหน อาตมากำลังทุกข์ทรมานอย่างหนัก และกำลังจะเป็นบ้า

อาตมาวิ่งกลับมาที่กุฏิ นั่งลงและเริ่มสวดมนต์ ใครๆ เขาว่าบทสวดมนต์ของพุทธศาสนามีพลังศักดิ์สิทธิ์ สามารถนำมาซึ่งความโชคดีและทรัพย์สมบัติ ขับไล่สัตว์ร้าย และรักษาโรคภัยตลอดจนความเจ็บปวด อาตมาไม่เชื่อหรอก เพราะอาตมาถูกฝึกมาให้เป็นนักวิทยาศาสตร์ คาถาเวทย์มนตร์เป็นเรื่องหลอกลวง ใช้ได้กับคนที่หลงเชื่ออะไรง่ายๆ ได้เท่านั้น แต่อาตมาตั้งต้นสวดมนต์ด้วยความหวังเหนือเหตุผลใดๆ ว่าสิ่งนี้จะช่วยอาตมาได้่ อาตมากำลังเข้าตาจน แต่ในที่สุดอาตมาก็ต้องหยุดสวดมนต์อีก อาตมากำลังตะโกนและกรีดเสียงต่างหาก ตอนนั้นเป็นเวลาดึกแล้ว และอาตมากลัวว่าเสียงของอาตมาจะปลุกพระองค์อื่นๆ วิธีตะโกนท่องบทสวดแบบนั้นจะสามารถปลุกคนทั้งหมู่บ้านที่อยู่ห่างออกไปสองสามกิโเมตรได้ทีเดียว อำนาจของความเจ็บปวดทำให้อาตมาไม่สามารถสวดมนต์แบบปกติได้

อาตมาอยู่คนเดียวเป็นพันๆ ไมล์จากบ้านเกิดของอาตมา ในป่าที่ไกลโพ้นปราศจากเครื่องช่วยอำนวยความสะดวกใดๆ อยู่กับความเจ็บปวดที่สุดจะทนทานและหนีไม่พ้น อาตมาทดลองทุกวิถีทางเท่าที่อาตมาจะนึกได้ ทุกอย่างจริงๆ อาตมาไม่ไหวแล้ว มันเป็นเช่นนั้นนะ

นาทีแห่งภาวะสิ้นหวังสุดๆ เช่นนี้กลับช่วยเปิดประตูแห่งปัญญา ประตูที่เราจะไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิตปกติของเรา เมื่อประตูบานนั้นเปิดอ้าต้อนรับอาตมา อาตมาจึงได้ผ่านเข้าไป ขอบอกตรงๆว่า มันไม่มีทางเลือกอื่นจริงๆ

อาตมาจำคำสองคำสั้นๆ ได้อย่างไม่มีวันลืม 'ปล่อยวาง' ก่อนหน้านี้อาตมาเคยได้ยินคำๆ นี้มาหลายครั้งหลายหน อาตมาเคยชี้แจงความหมายของมันให้เพื่อนๆ ฟังเสียด้วยซ้ำ

อาตมาคิดว่าเข้าใจความหมายของมัน แต่กลับเป็นความเข้าใจผิด อาตมาเต็มใจที่จะลองทุกสิ่งทุกอย่าง ฉะนั้นอาตมาจึงพยายามปล่อยวาง ปล่อยวางชนิดร้อยเปอร์เซ็นต์ เป็นครั้งแรกในชีวิตเลยทีเดียวที่อาตมาสามารถปล่อยวางได้โดยแท้จริง

สิ่งที่เกิดขึ้นต่อมาทำให้อาตมาถึงกับสะดุ้ง ความเจ็บปวดสุดจะทนทานนั้นอันตรธานไปในทันที มันถูกแทนที่ด้วยปีติสุดจะดื่มด่ำ ซึ่งวูบวาบในกายของอาตมาระลอกแล้วระลอกเล่า จิตของอาตมาเข้าสู่ภาวะแห่งความสงบล้ำลึก นิ่ง และเป็นสุขยิ่งนัก บัดนี้อาตมาเข้าสมาธิได้ง่ายๆ โดยไม่ต้องใช้ความพยายามอะไรเลย เมื่ออกจากสมาธิตอนเช้ามืด อาตมาล้มตัวลงนอนพักผ่อน อาตมาก็หลับสนิทอย่างสงบสุข และเมื่อตื่นขึ้นมาเพื่อทำกิจวัตรประจำวัน อาตมายังรู้สึกปวดฟันอยู่ แต่ไม่มีอะไรเทียบเท่ากับค่ำคืนที่่ผ่านมาได้เลย

@ ปล่อยวางความเจ็บปวด @

ในเรื่องที่แล้ว สิ่งที่อาตมาได้ปล่อยวาง คือ ความกลัวความเจ็บปวดจากการปวดฟัน เมื่ออาตมายินดีต้อนรับความเจ็บปวด ยอมรับมัน และยินยอมให้มันอยู่โดยไม่พยายามขับไล่ไสส่ง นั่นเป็นเหตุให้มันผ่านพ้นไป

เพื่อนหลายคนของอาตมาที่เคยเจ็บปวดอย่างหนักได้ทดลองวิธีการของอาตมาและพบว่ามันไม่ได้ผล เขาจึงมาต่อว่าและบอกว่าที่อาตมาปวดฟันนั้นน่ะเทียบกันไม่ได้เลยกับความเจ็บปวดของเขา นั่นย่อมไม่ถูกต้อง ความเจ็บปวดเป็นเรื่องเฉพาะตนและวัดไม่ได้ อาตมาได้อธิบายให้เพื่อนๆ ฟังว่า ทำไมการปล่อยวางจึงไม่ได้ผลสำหรับเขา โดยเล่าเรื่องลูกศิษย์สามคนของอาตมาให้เขาฟัง

ลูกศิษย์คนแรกกำลังเจ็บปวดมากและพยายามจะปล่อยวาง
"ปล่อยวาง" เสียงแนะนำเบาๆและรอ
"ปล่อยวาง!" เสียงบอกซ้ำเมื่อยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
"ปล่อยวางแค่นั้นแหละ!"
"น่า...ปล่อยวางวางซะ"
"ฉันบอกให้ปล่อยวางไง!"
"ปล่อยวาง!"
เราอาจเห็นว่ามันตลก แต่นั่นแหละเป็นสิ่งที่พวกเราทุกคนทำอยู่เกือบตลอดเวลา เราปล่อยวางผิดรื่องเราควรจะปล่อยวางตัวตนที่บอกให้เรา 'ปล่อยวาง' ต่างหาก เราควรที่จะปล่อยวาง 'ตัวบงการ' ที่มันอยู่ในตัวเรา ซึ่งเราทุกคนก็รู้ว่ามันเป็นใคร การปล่อยวางหมายถึงการไม่มี 'ตัวบงการ'

ลูกศิษย์คนที่สองกำลังเจ็บปวดรุนแรง เขาจำคำสอนของอาตมาได้และจะปล่อยวางตัวบงการนั้น เขานั่งอยู่กับความเจ็บปวด เข้าใจว่ากำลังปล่อยวาง อีกสิบนาทีต่อมาความเจ็บปวดก็ยังคงอยู่เช่นเดิม เขาเริ่มบ่นว่าการปล่อยวางไม่ได้ผล อาตมาจึงอธิบายว่าการปล่อยวางไม่ใช่วิธีการกำจัดความเจ็บปวด มันเป็นวิธีการที่จะเป็นอิสระจากความเจ็บปวดต่างหาก ศิษย์คนที่สองนี้พยายามที่จะจัดการกับความเจ็บปวดทำนองว่า "ฉันจะปล่อยวางสักสิบนาทีแล้ว แก...เจ้าความเจ็บปวดจะต้องหายไป ตกลงมั้ย?"

นั่นไม่ใช่การปล่อยวางความเจ็บปวด แต่เป็นความพยายามที่จะกำจัดความเจ็บปวดต่างหาก

ลูกศิษย์คนที่สามกำลังเจ็บปวดอย่างหนัก เขาพูดกับเจ้าความเจ็บปวดประมาณว่า "เจ้าความเจ็บปวดเอ๋ย ประตูใจของฉันเปิดรับเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะทำฉันจ็บปวดขนาดไหนก็ตาม จงเข้ามาเถอะ"

ลูกศิษย์คนที่สามเต็มใจยินยอมให้ความเจ็บปวดคงอยู่ต่อไปนานเท่าที่มันต้องการแม้จนตลอดชีวิตก็ตาม แม้จะต้องเจ็บยิ่งขึ้นเขาก็ยอม เขาให้อิสระแก่ความเจ็บปวด ล้มเลิกความพยายามที่จะควบคุมมัน นั่นแหละคือการปล่อยวาง บัดนี้ไม่ว่าความเจ็บปวดจะอยู่หรือไป มันก็มีค่าเท่ากันสำหรับเขา เมื่อนั้นแหละความทุกข์จากความเจ็บปวดจะหายไป

----------------------

มีเรื่องเล่าว่า เมื่อหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ทราบว่าพระอุปัชฌาย์ของท่าน คือพระอาจารย์เสาร์ กันตสีโล ป่วยหนักและได้รับความเจ็บปวดทรมานแสนสาหัส ถึงแม้ท่านจะไม่สามารถไป

ปรนนิบัติได้ แต่ก็ได้ส่งสาส์นไปบอกสั้นๆ ว่า

"อย่าต่อสู้กับมัน"

เท่านั้นเอง พระอาจารย์เสาร์ก็เข้าใจ และพ้นจากความทรมานเป็นปลิดทิ้ง

วโรทาห์: 6 ก.ย. 53

Sunday, August 22, 2010

ยิ่งดิ้นยิ่งเสื่อม

เหิมเกริมเข้าขั้น ขนาดไปลากเอาพระนามเดิมของพระพุทธเจ้ามาล้อเล่นกันแล้ว เมื่อนกตะกรุมเฒ่าจอมสร้างภาพ ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม โดดก๋าออกมายกก้นทรราช 100 ศพ ขึ้นชั้น"อภิสิทธัตถะ"เทียบเท่าพระพุทธเจ้า โดยไม่กลัวนรกจะกินกบาล

ถือเป็นปฏิบัติการ"เลีย"ที่สมบูรณ์แบบ ไร้ที่ติจริงๆ

ออกลายมาเลย ออกลายมาให้เห็นกันชัดๆ กับอีกหนึ่งสมุนเครือข่ายอำมาตย์ แผนกฝีพายเรือโจร ผู้ทำหน้าที่พายเรือให้โจรนั่ง ลงทุนขายศักดิ์ศรี ขายจิตวิญญาณ เพียงเพื่อแลกกับยศฐาบรรดาศักดิ์ ทรัพย์สินเงินทอง

ที่รู้ทั้งรู้ว่า ไม่อาจใช้ชำระหนี้ตามกฎหมายในนรกได้

เอาบรรดาขาโจ๋วัยเล่นขี้ มารับจ๊อบงานใหญ่ ผลที่ได้มันก็ต้องเป็นอย่างนี้ แทนที่จะฉุดเหรตติ้งให้กระเตื้องขึ้นมาบ้าง มันกลับตาลปัตรปักหัวจมดิ่ง เสื่อมทรุดหนักข้อเข้าเนื้อไปกันใหญ่ ยิ่งออกฤทธิ์ออกเดชความเสื่อมยิ่งย่ามใจ เข้าย่ำยีบีฑาทำลายล้างระบอบโบราณพันปี อย่างไม่ปรานีปราศัย

ส่งผลให้คนแก่ใกล้ตาย ต้องไปยืนโบกมือหย็อยๆ อยู่ตามแยกหัวมุมถนน อย่างคนสิ้นหวัง

ถ้าจะบอกว่า "ยิ่งดิ้นยิ่งเสื่อม" ก็คงจะไม่ผิด

แต่อย่างว่า ตราบใดที่พวกมันยังไม่บรรลัยวอดวายไปคาตา ประชาชนก็คงต้องตุ๊มๆต่อมๆ สลับกับอาการปวดหัวใจจี๊ดๆ ที่ต้องทนเห็นอยู่ตำตา ว่ามันโกงกินกันมูมมามขนาดไหน ขณะที่มือหนึ่งถือปืนไล่ยิงเจ้าบ้าน อีกมือหนึ่งก็เก็บกวาดทรัพย์สินใส่ย่ามอย่างอุกอาจ

ปากที่อยู่ว่างๆ ก็พล่าม "ปรองดองๆๆ"..แหลเอาตัวรอดไปวันๆ

ที่น่าเจ็บใจคือ ดันมีกองเชียร์มืดบอดออกมาส่งเสียงเย้วๆ ยุส่งพวกโจรให้ปล้นบ้านตัวเอง เพราะสำคัญผิดคิดว่ากงจักรเป็นดอกบัว เข้าใจว่าทรัพย์ของตัว เป็นสมบัติมหาโจรไปซะฉิบ โจรมันปล้นญาติพี่น้องอยู่เหย็งๆ ดันส่งเสียงเชียร์มันตะบันราด เพียงเพราะหวังส่วนแบ่งที่กระเด็นมาให้ แค่เศษเนื้อข้างเขียง

สภาพอย่างนี้กระมัง ที่โบราณท่านเรียกว่า "อัปรีย์กินเมือง"

เรื่องราวทั้งหลายมันถึงได้วิปริตผิดเพี้ยนไปซะหมด กระเบื้องตันๆที่หนักอึ้งก็ดัน"เฟื่องฟูลอย" แต่ทีน้ำเต้าน้อยที่กลวงโบ๋กลับ"ถอยจม" นับประสาอะไร กระบวนการยุติธรรมจะไม่
เอียงกระเท่เร่ เป็นนกปีกด้วน แทนที่จะ"ยุติโดยธรรม" ก็กลายเป็น"ยุติความเป็นธรรม"ไปซะงั้น

กรมสอบสวนคดีพิเศษ ถูกแปรสภาพเป็นหน่วยเกสตาโป ออกไล่ล่าสังหารประชาชนคนเสื้อแดง อย่างเมามัน อยู่ๆตัวอธิบดีเอง ก็ออกมาสารภาพแทนผู้ต้องหาเป็นตุเป็นตะ ทั้งๆที่เจ้าตัวยังไม่ได้พูดอะไรสักแอะ

แต่ทีเมียตัวออกมาสารภาพเองอย่างหมดเปลือกว่า แอบขายบริการพิเศษครั้งละแสนห้า ดันทำปากแข็ง ประกาศสู้ยิบตา

ยังไม่ต้องพูดถึงองค์กรอิสระ ที่เป็นอิสระจากประชาชน แต่ขึ้นตรงต่ออำมาตย์ ว่าจะออกลิงออกค่าง ซักขนาดไหน

จะเอาแบบเร่งเกมเร็วม้วนเดียวจบเหมือนคดีเสื้อแดง หรือจะเอาแบบลากเลื้อยเจ็ดชั่วโคตรอย่างคดีเสื้อเหลือง ก็ไม่มีปัญหา ตบได้สั่งได้แล้วแต่ใจอำมาตย์

คดีเสื้อแดงไม่ว่าหนักว่าเบา มันเอาเข้าคุกลูกเดียว แต่ทีพันธมิตรขับรถไล่บี้ตำรวจ ดันได้รับความปราณีเป็นพิเศษให้รอลงอาญา ฐานที่ทำไปเพราะ"บันดาลโทสะ"ที่ถูกตำรวจล่วงเกินก่อน ทั้งๆที่มีหลักฐานอยู่ทนโท่ว่า ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์เขาทำตามหน้าที่กันแท้ๆ

จะทำยังไงได้ ในเมื่อวันนี้มันเป็นทีของอำมาตย์ อยากทำอะไรก็คงต้องเชิญทำไปตามที่เห็นสมควร แต่อย่าให้วันไหนถึงทีพวกไพร่ก็แล้วกัน

ถ้าประชาชน"บรรดาลโทสะ"เมื่อไหร่..แล้วพวกมึงจะหนาว

สื่อสารมวลชน แทนที่จะเป็นกระบอกเสียงให้รากหญ้าผู้ด้อยโอกาส ดันไปรับใช้อำมาตย์ มาปิดหู ปิดตา ปิดปากประชาชน ข้ออ้างว่าทำไปเพราะเห็นแก่เงิน ก็"ฟังไม่ขึ้น" เพราะอาการระริกระรี้ กระดี๊กระด๊าให้ท่าอำมาตย์ มันฟ้องอยู่ในตัว

ถ้าจะยกระดับสื่อไทย ให้ขึ้นชั้นเทียบกับโสเภณี ก็คงเปรียบได้กับโสเภณีโดยสันดาน ผู้ถือคติประจำใจ "เงินย่อมไม่สำคัญไปกว่าความเสียว" ถ้าถูกใจใช่เลย รับรองบริการให้ฟรีไม่มีชาร์จ แถมจับพลัดจับผลู จะมีแอบติ๊ปให้ตาค้างอีกต่างหาก

ประเภทโสเภณีจำเป็น ถูกบังคับขายบริการนั้น มีน้อยซะยิ่งกว่าน้อย นับยังไงก็คงไม่ครบสิบนิ้ว

ไม่ใช่สิ! ถ้าไล่เรียงกันดูจริงๆ ยังได้ไม่ถึงห้านิ้วด้วยซ้ำไป

จึงไม่แปลกที่ความตอแหลจะระบาดไปทั่วทุกวงการ ก็ขนาดคำว่า "ขอคืนพื้นที่" กับ "กระชับพื้นที่" ยังส่งให้จอมแหลอย่างมาร์ค 100 ศพ ขึ้นชั้นผู้ใช้ภาษาไทยดีเด่น ตีคู่ไปกับพันธมิตรห่มเหลือง "มหา ว.สี่ตาพาซวย" ผู้ที่สามารถใช้ภาษาไทย เทศนาอย่างพลิกพลิ้ว ชนิดมะกอกสามตะกร้าปาไม่ถูก

จาก"เป็นกลาง=เป็นก้าง" สมัยม็อบพันธมิตร มาถึง"เสียใจที่คนไทยเลือกข้าง" ในยุคม็อบเสื้อแดง เล่นเอาอุบาสกอุบาสิกาพากันตีหน้าเหวอ ว่านี่ "หลงพี่" จะเอายังไงกันแน่

ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน วิกฤติอำมาตย์ในครั้งนี้ ก็ได้พิสูจน์คุณธรรมจอมปลอมของพวกอีแอบ ที่รวมหัวกันปลิ้นปล้อน หลอกลวง มอมเมาประชาชน อย่างเป็นขบวนการ จนส่งผลให้เกิดปรากฏการณ์ "ตาสว่างทั้งแผ่นดิน" อย่างไม่น่าเชื่อ

คนมันถึงคราวจะฉิบหาย ผีห่าซาตานเลยดลใจ ให้เดินดุ่มๆไปบนหนทางเสื่อม อย่างไม่มีอาการลังเลแม้แต่น้อย

เรื่องของเรื่อง ที่มันเลอะเทอะเละเทะอยู่ทุกวันนี้ ผู้สันทัดกรณีที่ไม่กล้าเปิดเผยนาม ท่านให้ทัศนะว่า เป็นเพราะเราดันทะลึ่ง "เลี้ยงงูไว้ในเรือ เลี้ยงเสือไว้นอกกรง" เลี้ยงไม่เลี้ยงเปล่า ดันผ่าไปบูชาเซ่นไหว้ ยกเป็นของศักดิ์สิทธิ์ซะงั้น เรื่องมันถึงได้เลยเถิดลามปามไปกันใหญ่

อันธรรมดาคนเรา ถ้าฐานะพอมีอันจะกิน เกิดมีอาการครึ้มอกครึ้มใจ อยากเลี้ยงเสือไว้ในบ้านให้เป็นสง่าราศี มันก็เก๋ไปอีกแบบ แต่ถ้าจนกรอบเป็นข้าวเกรียบกุ้งแล้ว ยังอุตส่าห์กระเบียดกระเสียนค่าข้าวค่าน้ำ เอามาเลี้ยงเจ้าลายพาดกลอนนี่ มันก็เกินไปหน่อย

แล้วถ้าดันผ่าปล่อยให้เดินเพ่นพ่านอย่างกับเป็นเจ้าบ้านซะเอง ก็ยิ่งดูไม่จืด เสือแก่เติบใหญ่กลายเป็นเสือสมิง เที่ยวแอบจับคนในบ้านกินเป็นดินเนอร์มื้อใหญ่ โดยที่ไม่มีใครระแคะระคายมาหลายทศวรรษ แม้จะมีคนสงสัยอยู่บ้าง แต่ก็ไม่มีใครกล้าจับอุ้งตีนมันดม

แค่เห็นเสือใหญ่ยิ้มยาก นั่งหน้ามึนไม่รู้ไม่ชี้ ก็หนาวไปถึงกระดูกแล้ว

แสงสว่างเท่านั้น ที่จะทำลายเวทย์ไสยมนตร์ดำ ความจริงเท่านั้น ที่จะสยบความตอแหลให้อยู่หมัด

ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย แต่มันทำให้คนพูดความจริง ตายมาแล้วนักต่อนัก ดังนั้นจึงต้องอาศัยหลวงตาชู ให้รับหน้าเสื่อเสี่ยงตาย พูดความจริงแต่เพียงผู้เดียว เพื่อที่พวกเราจะได้ก๊อปปี้แจกจ่ายกันไป ให้ทั่วบ้านทั่วเมือง

เพราะว่างานนี้ ยังไงก็ลากยาวข้ามภพข้ามชาติ ประชาชนสู้ยิบตาอยู่แล้ว

"มึงรู้หรือเปล่าว่ากำลังสู้กับใคร" ถ้าเป็นสมัยก่อน ได้ยินคำถามทำนองนี้ เป็นได้ถอดใจวิ่งป่าราบกันเป็นแถว แต่มาถึงวันนี้ หลัง 19 พฤษภาเลือด อันแสนขมขื่น สถานการณ์มันหล่อหลอมให้ใจคนเปลี่ยนไป กลายเป็นหนังคนละม้วน

หมูในอวยกลับกลายเป็นหมูไม่กลัวน้ำร้อนขึ้นมาดื้อๆ จึงไม่แปลก ที่วันนี้คนถามจะมีโอกาสได้เจอสวนว่า

"ทำไมกูจะไม่รู้ว่ากำลังสู้กับใคร แต่ฝากมึงไปถามมันด้วยว่า มันรู้ไม๊ว่า กำลังสู้กับประชาชน แล้วถามมันด้วยว่า ไอ้อีหน้าไหนที่บังอาจสู้กับประชาชน จะลงเอยด้วยชะตากรรมแบบไหน แล้วคงไม่ต้องให้บอกว่า..."

"จุดจบสุดท้าย..พวกมันตายกันยังไง"

วโรทาห์: 22 ส.ค. 53

Thursday, July 29, 2010

สงครามประชาชน นับหนึ่งไปแล้ว

เรือด่วนไม่รอท่า วันเวลาไม่คอยใคร อำนาจวาสนาไม่เคยอยู่นาน ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป พรก.ฉุกเฉินมันก็แค่ฉาบฉวย ออกมาคุ้มกบาลโจรได้ไม่นานก็ต้องจากไป ความจริงเท่านั้นที่เป็นสิ่งไม่ตาย ต่อให้มุบมิบปกปิดกันยังไง เมื่อถึงเวลาย่อมต้องแดงโร่ออกมาจนได้

ไอ้อีที่ก่อกรรมทำเข็ญกับเพื่อนร่วมชาติเอาไว้ จึงรุ่มร้อนทรมานทุรนทุราย ราวกับตกอยู่ในอเวจีมหานรก ยังไม่ปาน

เพราะเหตุนี้ ในระหว่างที่พรก.ฉกฉวย ยังคุ้มกะลาหัว ให้ทำการฉ้อฉลโดยถูกต้องตามกฎหมาย ศูนย์อำนวยความฉิบหาย จึงกุลีกุจอล้างขี้ให้รัฐบาลโจรอย่างฉุกละหุก เพราะคิดโดยไม่ต้องใช้สมองว่า ถ้าทอดเวลาให้เนิ่นนานออกไป กับเร่งระดมใบบัวมาให้ได้มากพอ

จะสามารถปิดช้างตายทั้งตัวได้มิด ไม่ให้ส่งกลิ่นเหม็นคาวฉาวโฉ่ไปทั่วบ้านทั่วเมือง รวมทั้งทั่วโลกอีกต่างหาก

ในระหว่างนี้ จึงไม่แปลกที่จะมีข่าวประชาชน คนแล้วคนเล่าถูกคร่าตัวไปเข้าคุก โดยไม่จำเป็นต้องแจ้งข้อหา ศพแล้วศพเล่าถูกเพิ่มเข้าในบัญชีคนตาย ภายใต้เงื้อมมือทรราช โดยไม่ใครคิดที่จะจับมือใครดม

ภาพที่ออกมาในสายตาปุถุชน ที่มีความเป็นมนุษย์อยู่ในระดับปกติธรรมดา มันเลยดูไม่จืด เหมือนเห็นฝูงหมาป่าที่กำลังรุมขย้ำลูกแกะอย่างเมามัน ดูราวกับว่า เสื้อแดงที่เคยแรงฤทธิ์จะถูกฉีกเป็นริ้วๆ เพื่อให้สาแก่ใจจอมบงการ ที่สุมไฟแค้นไว้แน่นอก รอวันสะสาง ที่เพิ่งจะมาถึงในวันนี้

ผ่านไปกว่าสองเดือน หลังเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ "พฤษภามหาอำมหิต" ในขณะที่ "คืนนรกในวันปทุมฯ" ยังตามหลอนจอมบงการอยู่ไม่เลิก แต่ปฏิบัติการไล่ล่าท้านรกผู้เห็นต่างทางการเมือง ยังไม่มีทีท่าว่าจะซาลง แม้แต่น้อยนิด

ทำราวกับว่า ถ้าถูกรุกไล่จนไม่มีที่ยืนแล้ว เสื้อแดงจะอันตรธานหายวับไปจากโลกนี้ ไม่มีใครอยู่ให้ขวางหูขวางตา ท่านผู้มีอำนาจตัวจริงเสียงจริง ที่กำลังนี้ประสาทหูมันด้านชา จนไม่ได้ยินแม้เสียงแมลงหวี่แมลงวัน ที่กู่ตะโกนประสานเสียงจนคอแทบแตกว่า...

อย่าให้พวกกูหาที่ยืนเอง..แล้วมึงจะหนาว

กับสถิติอย่างเป็นทางการ ตายร่วมร้อยกับบาดเจ็บร่วมสองพัน ไม่มีใครสงสัยว่า มาร์คชั่วพอสำหรับมหกรรมอำมหิตระดับนี้หรือไม่ แต่ทุกคนข้องใจว่ามันเอาน้ำอิ๊วมาจากไหน กับงานระดับมาสเตอร์พีซ ที่ต้องอาศัยอำนาจบงการครอบคลุมทุกองคาพยพ ทั้งกองทัพ สารพัดสื่อ องค์กรอิสระ และนักวิชาการ จิปาถะ

ให้ออกลิงออกค่างไปในทิศทางเดียวกัน โดยไม่มีการแตกแถวแม้แต่หน่อเดียว

จึงช่วยไม่ได้ที่สายตาทุกคู่จะจับจ้องเพ่งเล็งไปที่ฉากหลังอันชินตา ซึ่งใครๆก็รู้ว่ามันไม่ใช่ฉากลิเกโหลๆอีกต่อไป เหตุเพราะภาพลางๆหลังฉากนั้น ที่นับวันจะชัดเจนจนมองเห็นทะลุปรุโปร่งไปทุกรูขุมขน กับเงาร่างทะมึนซึ่งมันจะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจาก...ไอ้ปื๊ด

หายไปกับสายลม หลังจากปฏิบัติการยิงผ่ากะโหลกจ่ายิ้ม วันนี้ไอ้ปื๊ดกลับมาในมาดใหม่ที่ไฉไลกว่าเดิม อย่างเทียบกันไม่ติด ทั้ง "โหด เลว ดี" มีครบเครื่องอยู่ในตัวคนเดียวกัน เมื่อประกอบกับบารมีที่มากมายล้นฟ้า จนทะลักนองไปทั่วทั้งจักรวาล

จึงช่วยไม่ได้ที่ไอ้ปื๊ดจะหน้ามืดตามัว จนหลงตัวลืมตีน นึกว่าตนเองเป็นเทวดาไปซะฉิบ

จากที่เคยกระมิดกระเมี้ยนนั่งชักใยอยู่หลังฉาก จึงกล้าๆออกมายืนแก้ผ้าอยู่หน้าฉาก โดยไม่รู้สึกเคอะเขินแม้แต่น้อยนิด ยิ่งหลังๆมานี่ยิ่งเลอะเทอะไปกันใหญ่ เมื่อขยันออกมาล่อเป้าให้มาร์คชกโชว์ เหมือนจะประกาศศักดาให้รู้เป็นนัยๆว่า ไอ้เด็กผีคนนี้มันสังกัดค่ายไหน

เพราะฉะนั้น ถ้าไม่มั่นใจว่าแน่จริง จงอย่าแหยมเป็นอันขาด

ถ้ายังข้องใจ ให้หันกลับไปชมผลงานที่เห็นจะๆ ประจักษ์กับตานับล้านคู่ ที่แม้แต่ตานฉ่วย ยังต้องหลบฉากชิดซ้าย กับปฏิบัติการอีแอบ หลบมุมซุ่มยิง แล้วออกมาตอแหลแก้ตัวอย่างไม่มีทีท่าว่าจะอายสุนัข ด้วยคำพูดสั้นๆง่ายๆว่า..เปล่า..ใครจะทำไม

หลังปฏิบัติการโฉดจบลง ก็ได้เวลาเปิดแชมเปญฉลองอย่างเมามัน ทำราวกับว่าระบอบอำมาตย์ประสบกับชัยชนะอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดไปแล้ว โดยหารู้ไม่ว่า นั่นเท่ากับเติมปุ๋ยเร่งเชื้อให้กับขบวนการประชาธิปไตย ที่ยืนตายซากรอฟ้ารอฝนมานานกว่า 76 ปี

ประชาชนกำลังเรียนรู้ประชาธิปไตยอย่างก้าวกระโดด จากการลงมือปฏิบัติอย่างเข้มข้นในสนามจริง เจ็บจริง ตายจริง ไม่มีตัวแสดงแทน

แน่นอนว่า เมื่อเห็นสหายร่วมรบทอดร่างลงนอนจมกองเลือด เป็นใครจะไม่เจ็บแค้นจนอยากฉีกเนื้อศัตรูเป็นชิ้นๆ แต่ในเมื่อยังทำอะไรไม่ได้ มันก็ต้องกลืนเลือดเอาไว้ก่อน สิ่งที่ทำได้ และสมควรทำเป็นอย่างยิ่งในตอนนี้ คือสลัดทิ้งความเจ็บปวด แล้วรีบลุกขึ้นมาสู้ใหม่

"พ่ายศึกใช่ว่าแพ้สงคราม" หนทางข้างหน้ายังอีกยาวไกล สงครามประชาชนมันคือมหากาพย์ของทุกประเทศอยู่แล้ว การศึกต้องปะทุขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า จนกว่าระบอบอำมาตย์จะบรรลัยวายวอดไปต่อหน้าต่อตา ไม่ว่าจะกินเวลาเนิ่นนานเท่าใดก็ตาม

"ชัยชนะที่หอมหวาน ย่อมต้องแลกมาด้วยความพ่ายแพ้อันขมขื่น" ไม่ว่าประชาชนจะต้องสูญเสียไปเท่าไหร่ แต่พล็อตเรื่องสุดท้ายได้เขียนเอาไว้ เสร็จสรรพเรียบร้อยแล้ว นั่นคือ ยังไงระบอบอำมาตย์ ก็ต้องพินาศย่อยยับ อย่างไม่มีข้อแม้

มีหอกใช้หอก มีดาบใช้ดาบ มีซีดีใช้ซีดี มีแฟล็ชไดร์ใช้แฟล็ชไดร์ ก็อปมันไป เผยแพร่ให้มากที่สุด นั่นคือสงครามใต้ดิน ที่ประชาชนกำลังตอบโต้กับอำนาจรัฐ อย่างถึงพริกถึงขิง ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด โดยที่ฝ่ายอำมาตย์ไม่มีทางปกป้องตนเองได้ เพราะไม่มีใครโผล่มาให้ยิงอีกแล้ว

ทำเป็นเล่นไป ขนาดเด็ดดอกไม้ ยังสะเทือนถึงดวงดาว เพียงแค่ผีเสื้อขยับปีก ยังก่อเกิดพายุใหญ่ เจอมดตัวน้อยตัวนิดรุมสกรัม ช้างใหญ่ยังล้มทั้งยืนมาแล้ว นับประสาอะไร ถ้าประชาชนช่วยกันเซาะอิฐฐานราก คนละก้อนสองก้อน

กำแพงใหญ่จะไม่ถล่มทลายพังครืนลงมา ก็ให้มันรู้กันไป

แน่นอนว่า ชัยชนะที่แลกด้วยความสูญเสียจำนวนน้อย ย่อมต้องใช้เวลามาก แต่ถึงยังไงก็คงไม่นานจนเกินรอ เพราะมัจจุราชนั้น อยู่ข้างประชาชนเสมอ

สัญญาณชีพของจอมอสูรที่ขาดสะบั้น คือสัญญาณแห่งชัยชนะของประชาชนที่เริ่มขึ้น เมื่อทัพมารเข้าห้ำหั่นกันเอง เพื่อช่วงชิงอาญาสิทธิ์แห่งนรก นั่นคือเวลารอคอยของกองทัพมหาชน ที่เตรียมพร้อมเผด็จศึก

เมื่อเฮี่ยต่อเฮี่ยกัดกันจนบรรลัย...ประชาชนจักเป็นใหญ่ในแผ่นดิน

วโรทาห์: 29 ก.ค. 53

Sunday, May 16, 2010

เข้าประชาไทผ่าน Google free proxy


รัฐบาลสัตว์ชิบหายมันบ้าไปแล้ว สาดกระสุนจริงยิงหัวประชาชนอย่างไม่รู้สึกรู้สา แถมป้ายขี้ให้เสื้อแดงอีกต่างหาก

ส่วนในโลกไซเบอร์ ก็ตามปิดตามบล็อคอย่างบ้าระห่ำ

นี่พันทิป ก็ปิดหนีตายไปแล้ว

เหลือแต่ประชาไท ที่ยังยืนหยัดโต้พายุซาตานอยู่ แต่ก็ถูกตามบล็อคทุกรูปแบบ

ถ้าใครเข้าไม่ได้ ก็ลอง URL นี้ดู

http://www.google.com/translate?langpair=en|th&u=www.prachataiboard.com/webboard

**********

คราวนี้เสื้อแดงรู้หรือยัง ว่ากำลังสู้กับใครอยู่?

ทำไมมันจึงใจกล้าหน้าด้าน ไม่เกรงกลัวประชาชน ไม่สนใจสายตาชาวโลกแม้แต่น้อย?

หยุดเถิดทรราช..อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

นอมินีจอมอสูร

วโรทาห์: 16 พ.ค. 53

********

เปลี่ยน URL แล้วครับ เป็น..

http://www.prachataiboard.info/board/

เข้าตรงๆได้เลย จนกว่ามันจะตามมาบล็อคอีก

วโรทาห์: 28 พ.ค. 53

***

เปลี่ยนเป็น..

http://www.prachataiboard1.info/board/

วโรทาห์: 6 มิ.ย. 53