Sunday, August 22, 2010

ยิ่งดิ้นยิ่งเสื่อม

เหิมเกริมเข้าขั้น ขนาดไปลากเอาพระนามเดิมของพระพุทธเจ้ามาล้อเล่นกันแล้ว เมื่อนกตะกรุมเฒ่าจอมสร้างภาพ ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม โดดก๋าออกมายกก้นทรราช 100 ศพ ขึ้นชั้น"อภิสิทธัตถะ"เทียบเท่าพระพุทธเจ้า โดยไม่กลัวนรกจะกินกบาล

ถือเป็นปฏิบัติการ"เลีย"ที่สมบูรณ์แบบ ไร้ที่ติจริงๆ

ออกลายมาเลย ออกลายมาให้เห็นกันชัดๆ กับอีกหนึ่งสมุนเครือข่ายอำมาตย์ แผนกฝีพายเรือโจร ผู้ทำหน้าที่พายเรือให้โจรนั่ง ลงทุนขายศักดิ์ศรี ขายจิตวิญญาณ เพียงเพื่อแลกกับยศฐาบรรดาศักดิ์ ทรัพย์สินเงินทอง

ที่รู้ทั้งรู้ว่า ไม่อาจใช้ชำระหนี้ตามกฎหมายในนรกได้

เอาบรรดาขาโจ๋วัยเล่นขี้ มารับจ๊อบงานใหญ่ ผลที่ได้มันก็ต้องเป็นอย่างนี้ แทนที่จะฉุดเหรตติ้งให้กระเตื้องขึ้นมาบ้าง มันกลับตาลปัตรปักหัวจมดิ่ง เสื่อมทรุดหนักข้อเข้าเนื้อไปกันใหญ่ ยิ่งออกฤทธิ์ออกเดชความเสื่อมยิ่งย่ามใจ เข้าย่ำยีบีฑาทำลายล้างระบอบโบราณพันปี อย่างไม่ปรานีปราศัย

ส่งผลให้คนแก่ใกล้ตาย ต้องไปยืนโบกมือหย็อยๆ อยู่ตามแยกหัวมุมถนน อย่างคนสิ้นหวัง

ถ้าจะบอกว่า "ยิ่งดิ้นยิ่งเสื่อม" ก็คงจะไม่ผิด

แต่อย่างว่า ตราบใดที่พวกมันยังไม่บรรลัยวอดวายไปคาตา ประชาชนก็คงต้องตุ๊มๆต่อมๆ สลับกับอาการปวดหัวใจจี๊ดๆ ที่ต้องทนเห็นอยู่ตำตา ว่ามันโกงกินกันมูมมามขนาดไหน ขณะที่มือหนึ่งถือปืนไล่ยิงเจ้าบ้าน อีกมือหนึ่งก็เก็บกวาดทรัพย์สินใส่ย่ามอย่างอุกอาจ

ปากที่อยู่ว่างๆ ก็พล่าม "ปรองดองๆๆ"..แหลเอาตัวรอดไปวันๆ

ที่น่าเจ็บใจคือ ดันมีกองเชียร์มืดบอดออกมาส่งเสียงเย้วๆ ยุส่งพวกโจรให้ปล้นบ้านตัวเอง เพราะสำคัญผิดคิดว่ากงจักรเป็นดอกบัว เข้าใจว่าทรัพย์ของตัว เป็นสมบัติมหาโจรไปซะฉิบ โจรมันปล้นญาติพี่น้องอยู่เหย็งๆ ดันส่งเสียงเชียร์มันตะบันราด เพียงเพราะหวังส่วนแบ่งที่กระเด็นมาให้ แค่เศษเนื้อข้างเขียง

สภาพอย่างนี้กระมัง ที่โบราณท่านเรียกว่า "อัปรีย์กินเมือง"

เรื่องราวทั้งหลายมันถึงได้วิปริตผิดเพี้ยนไปซะหมด กระเบื้องตันๆที่หนักอึ้งก็ดัน"เฟื่องฟูลอย" แต่ทีน้ำเต้าน้อยที่กลวงโบ๋กลับ"ถอยจม" นับประสาอะไร กระบวนการยุติธรรมจะไม่
เอียงกระเท่เร่ เป็นนกปีกด้วน แทนที่จะ"ยุติโดยธรรม" ก็กลายเป็น"ยุติความเป็นธรรม"ไปซะงั้น

กรมสอบสวนคดีพิเศษ ถูกแปรสภาพเป็นหน่วยเกสตาโป ออกไล่ล่าสังหารประชาชนคนเสื้อแดง อย่างเมามัน อยู่ๆตัวอธิบดีเอง ก็ออกมาสารภาพแทนผู้ต้องหาเป็นตุเป็นตะ ทั้งๆที่เจ้าตัวยังไม่ได้พูดอะไรสักแอะ

แต่ทีเมียตัวออกมาสารภาพเองอย่างหมดเปลือกว่า แอบขายบริการพิเศษครั้งละแสนห้า ดันทำปากแข็ง ประกาศสู้ยิบตา

ยังไม่ต้องพูดถึงองค์กรอิสระ ที่เป็นอิสระจากประชาชน แต่ขึ้นตรงต่ออำมาตย์ ว่าจะออกลิงออกค่าง ซักขนาดไหน

จะเอาแบบเร่งเกมเร็วม้วนเดียวจบเหมือนคดีเสื้อแดง หรือจะเอาแบบลากเลื้อยเจ็ดชั่วโคตรอย่างคดีเสื้อเหลือง ก็ไม่มีปัญหา ตบได้สั่งได้แล้วแต่ใจอำมาตย์

คดีเสื้อแดงไม่ว่าหนักว่าเบา มันเอาเข้าคุกลูกเดียว แต่ทีพันธมิตรขับรถไล่บี้ตำรวจ ดันได้รับความปราณีเป็นพิเศษให้รอลงอาญา ฐานที่ทำไปเพราะ"บันดาลโทสะ"ที่ถูกตำรวจล่วงเกินก่อน ทั้งๆที่มีหลักฐานอยู่ทนโท่ว่า ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์เขาทำตามหน้าที่กันแท้ๆ

จะทำยังไงได้ ในเมื่อวันนี้มันเป็นทีของอำมาตย์ อยากทำอะไรก็คงต้องเชิญทำไปตามที่เห็นสมควร แต่อย่าให้วันไหนถึงทีพวกไพร่ก็แล้วกัน

ถ้าประชาชน"บรรดาลโทสะ"เมื่อไหร่..แล้วพวกมึงจะหนาว

สื่อสารมวลชน แทนที่จะเป็นกระบอกเสียงให้รากหญ้าผู้ด้อยโอกาส ดันไปรับใช้อำมาตย์ มาปิดหู ปิดตา ปิดปากประชาชน ข้ออ้างว่าทำไปเพราะเห็นแก่เงิน ก็"ฟังไม่ขึ้น" เพราะอาการระริกระรี้ กระดี๊กระด๊าให้ท่าอำมาตย์ มันฟ้องอยู่ในตัว

ถ้าจะยกระดับสื่อไทย ให้ขึ้นชั้นเทียบกับโสเภณี ก็คงเปรียบได้กับโสเภณีโดยสันดาน ผู้ถือคติประจำใจ "เงินย่อมไม่สำคัญไปกว่าความเสียว" ถ้าถูกใจใช่เลย รับรองบริการให้ฟรีไม่มีชาร์จ แถมจับพลัดจับผลู จะมีแอบติ๊ปให้ตาค้างอีกต่างหาก

ประเภทโสเภณีจำเป็น ถูกบังคับขายบริการนั้น มีน้อยซะยิ่งกว่าน้อย นับยังไงก็คงไม่ครบสิบนิ้ว

ไม่ใช่สิ! ถ้าไล่เรียงกันดูจริงๆ ยังได้ไม่ถึงห้านิ้วด้วยซ้ำไป

จึงไม่แปลกที่ความตอแหลจะระบาดไปทั่วทุกวงการ ก็ขนาดคำว่า "ขอคืนพื้นที่" กับ "กระชับพื้นที่" ยังส่งให้จอมแหลอย่างมาร์ค 100 ศพ ขึ้นชั้นผู้ใช้ภาษาไทยดีเด่น ตีคู่ไปกับพันธมิตรห่มเหลือง "มหา ว.สี่ตาพาซวย" ผู้ที่สามารถใช้ภาษาไทย เทศนาอย่างพลิกพลิ้ว ชนิดมะกอกสามตะกร้าปาไม่ถูก

จาก"เป็นกลาง=เป็นก้าง" สมัยม็อบพันธมิตร มาถึง"เสียใจที่คนไทยเลือกข้าง" ในยุคม็อบเสื้อแดง เล่นเอาอุบาสกอุบาสิกาพากันตีหน้าเหวอ ว่านี่ "หลงพี่" จะเอายังไงกันแน่

ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน วิกฤติอำมาตย์ในครั้งนี้ ก็ได้พิสูจน์คุณธรรมจอมปลอมของพวกอีแอบ ที่รวมหัวกันปลิ้นปล้อน หลอกลวง มอมเมาประชาชน อย่างเป็นขบวนการ จนส่งผลให้เกิดปรากฏการณ์ "ตาสว่างทั้งแผ่นดิน" อย่างไม่น่าเชื่อ

คนมันถึงคราวจะฉิบหาย ผีห่าซาตานเลยดลใจ ให้เดินดุ่มๆไปบนหนทางเสื่อม อย่างไม่มีอาการลังเลแม้แต่น้อย

เรื่องของเรื่อง ที่มันเลอะเทอะเละเทะอยู่ทุกวันนี้ ผู้สันทัดกรณีที่ไม่กล้าเปิดเผยนาม ท่านให้ทัศนะว่า เป็นเพราะเราดันทะลึ่ง "เลี้ยงงูไว้ในเรือ เลี้ยงเสือไว้นอกกรง" เลี้ยงไม่เลี้ยงเปล่า ดันผ่าไปบูชาเซ่นไหว้ ยกเป็นของศักดิ์สิทธิ์ซะงั้น เรื่องมันถึงได้เลยเถิดลามปามไปกันใหญ่

อันธรรมดาคนเรา ถ้าฐานะพอมีอันจะกิน เกิดมีอาการครึ้มอกครึ้มใจ อยากเลี้ยงเสือไว้ในบ้านให้เป็นสง่าราศี มันก็เก๋ไปอีกแบบ แต่ถ้าจนกรอบเป็นข้าวเกรียบกุ้งแล้ว ยังอุตส่าห์กระเบียดกระเสียนค่าข้าวค่าน้ำ เอามาเลี้ยงเจ้าลายพาดกลอนนี่ มันก็เกินไปหน่อย

แล้วถ้าดันผ่าปล่อยให้เดินเพ่นพ่านอย่างกับเป็นเจ้าบ้านซะเอง ก็ยิ่งดูไม่จืด เสือแก่เติบใหญ่กลายเป็นเสือสมิง เที่ยวแอบจับคนในบ้านกินเป็นดินเนอร์มื้อใหญ่ โดยที่ไม่มีใครระแคะระคายมาหลายทศวรรษ แม้จะมีคนสงสัยอยู่บ้าง แต่ก็ไม่มีใครกล้าจับอุ้งตีนมันดม

แค่เห็นเสือใหญ่ยิ้มยาก นั่งหน้ามึนไม่รู้ไม่ชี้ ก็หนาวไปถึงกระดูกแล้ว

แสงสว่างเท่านั้น ที่จะทำลายเวทย์ไสยมนตร์ดำ ความจริงเท่านั้น ที่จะสยบความตอแหลให้อยู่หมัด

ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย แต่มันทำให้คนพูดความจริง ตายมาแล้วนักต่อนัก ดังนั้นจึงต้องอาศัยหลวงตาชู ให้รับหน้าเสื่อเสี่ยงตาย พูดความจริงแต่เพียงผู้เดียว เพื่อที่พวกเราจะได้ก๊อปปี้แจกจ่ายกันไป ให้ทั่วบ้านทั่วเมือง

เพราะว่างานนี้ ยังไงก็ลากยาวข้ามภพข้ามชาติ ประชาชนสู้ยิบตาอยู่แล้ว

"มึงรู้หรือเปล่าว่ากำลังสู้กับใคร" ถ้าเป็นสมัยก่อน ได้ยินคำถามทำนองนี้ เป็นได้ถอดใจวิ่งป่าราบกันเป็นแถว แต่มาถึงวันนี้ หลัง 19 พฤษภาเลือด อันแสนขมขื่น สถานการณ์มันหล่อหลอมให้ใจคนเปลี่ยนไป กลายเป็นหนังคนละม้วน

หมูในอวยกลับกลายเป็นหมูไม่กลัวน้ำร้อนขึ้นมาดื้อๆ จึงไม่แปลก ที่วันนี้คนถามจะมีโอกาสได้เจอสวนว่า

"ทำไมกูจะไม่รู้ว่ากำลังสู้กับใคร แต่ฝากมึงไปถามมันด้วยว่า มันรู้ไม๊ว่า กำลังสู้กับประชาชน แล้วถามมันด้วยว่า ไอ้อีหน้าไหนที่บังอาจสู้กับประชาชน จะลงเอยด้วยชะตากรรมแบบไหน แล้วคงไม่ต้องให้บอกว่า..."

"จุดจบสุดท้าย..พวกมันตายกันยังไง"

วโรทาห์: 22 ส.ค. 53