Friday, December 28, 2007

พอเตี้ยร่วมรัฐบาล บุตโตก็ตาย เฮ้อ...เศร้า

พอเตี้ยร่วมรัฐบาล บุตโตก็ตาย เฮ้อ...เศร้า

ก่อนอื่นก็ขอร่วมไว้อาลัยต่อการจากไปของนางเบนาซี บุตโต ผู้นำฝ่ายประชาธิปไตยของปากีสถาน ในฐานะที่เราต่างก็ร่วมเดินอยู่บนเส้นทางเดียวกัน ขอดวงวิญญาณของท่านจงรับรู้ถึงความเศร้าโศกของพวกเราด้วย...

ว่าแล้วก็หันกลับมาเผชิญกับโลกแห่งความเป็นจริง เมื่อชีวิตยังไม่สิ้นก็ต้องดิ้นกันไป แต่ทักกี้ั ยังไงถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรงก็พักร้อนต่อไปก่อน อย่าเพิ่งกลับมา ไม่อยากเขียนคำอาลัยบ่อยๆ มันหดหู่

ไม่รู้เป็นไง พักนี้พอเห็นหน้าเจ้าเตี้ยทีไร มันพาลให้ลมเสียทู๊กที คนบ้าอะไรก็ไม่รู้ โผล่มาทีไรมีแต่เรื่องซวยๆ แล้วมันก็ขยันโผล่หน้าซะจริ้ง... ยังกะแกล้ง

พอเค้ากำลังจะตั้งรัฐบาล มันก็รีบไปล็อคคอเสี่ยสุวิทย์เอาไว้ ยังกะรู้ว่าไม่มีใครเอามัน พอเค้าจะเอาพผ.เข้าร่วมรัฐบาล มันก็เกาะขาเข้าไปด้วย กลายเป็นซื้อเหล้าพ่วงเบียร์ ทั้งๆที่เค้าอยากก๊งเหล้า แต่ไม่เอาเบียร์

อะไรไม่ว่า ยังมีหน้ามายื่นเงื่อนไข ทำยังกะว่าเค้าต้องไปง้อมัน แต่เงื่อนไขก็หน่อมแน้มเหลือเกิน ตั้งมางั้นๆ ไม่กล้าเข้ม กลัวเค้าจะรับเงื่อนไขไม่ได้ แล้วพาลไม่เอามันร่วมรัฐบาล

ก็อย่างที่ว่า มันกล้าเป็นฝ่ายค้านซะที่ไหน นี่ถ้างื่อนไข 5 ข้อเค้าขอตัดออก 4 ข้อเหลือไว้ข้อเดียวมันก็เอา เพียงแต่เค้าก็ไม่อยากหักหน้ามันมากจนเกินไป

แต่เอาเหอะ ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ก็อยากเตือนจะลุงหมักไว้หน่อย ว่าคิดอ่านป้องกันไว้ให้ดีเด้อ ถ้าตกลงเอาเจ้าตัวซวยนี่เข้ามา เพราะเห็นประวัติมันแล้วสยอง

เอาแค่ใกล้ๆนี่ก็พอ น้องแบมยังซวยไม่เลิกมาถึงทุกวันนี้ ตั้งแต่เจ้าแก่นั่นพาไปตกท่อ เลยซวยซ้ำซวยซ้อน ตกท่อพอว่ายังมาสอบตกส.ส.อีก ทั้งๆที่ก่อนหน้านั้นก็เสียงดี เจื้อยแจ้วเข้าตากรรมการซะเหลือเกิน

ถัดมาไม่นานก็ถึงคิวป้าแจ่ม แม้... มันเล่นของสูง แต่เที่ยวนี้เห็นเค้าว่าสงสัยจะไม่ใช่อุบัติเหตุ ป้าแจ่มกำลังสืบสวนในทางลับอยู่ ท่าทางว่าจะมีงาน คงกะเอาคืน ที่ป้าแจ่มไปบ้องกะโหลกมันซะจนประสาทเสีย

เรื่องราวทำท่าว่าจะมีมูล เพราะฝ่ายสืบสวนเค้าตั้งข้อสงสัยว่า เจ้าตู้แดงมันไปขวางทางเดินอยู่ได้ยังไง แถมยังตั้งไว้ซะเหมาะเหม็ง ยังกะวัดส่วนสูงของป้าแจ่มมาเด๊ะๆ กะว่าตัวมันเดินลอดสบาย แต่ป้าแจ่มไม่รอด งานนี้ถ้าจับได้ไล่ทัน มีสิทธิถึงตาย

ความวัวยังไม่ทันหาย ความควายก็เข้ามาแทรก จู่ๆไฟก็ไหม้หัวมังกรขึ้นมาดื้อๆ ไม่มีปี่มีขลุ่ยไวโอลินอะไรทั้งสิ้น เล่นเอามังกรสะดุ้ง บ่นอุบ ซวยอิ๊บอ๋าย ตั้งแต่รับจ๊อบพันเสาโชว์ตัวมาหลายพันปี ไม่เคยซวยยังงี้มาก่อน

อุบัติเหตุเล็กๆน้อยๆใช่ว่าไม่มี แต่อย่างมากก็หางไหม้นิดหน่อย โบกสะบัดเดี๋ยวเดียวก็หาย นี่มันล่อหัวเลย นอนหลับเพลินๆ ตื่นขึ้นมาหน้าดำเป็นเทพเทือก ยิ่งตาโปนๆเหมือนกันอยู่ด้วย เลยยิ่งไปกันใหญ่ อายจนอยากแทรกกลีบเมฆ

เลยต้องเตือนหมอมิ้งไว้หน่อย จะทำอะไรก็คิดหน้าคิดหลังให้ดี ถ้าวันที่ 4 ยังไม่สะเด็ดน้ำ ข้าตั้งรัฐบาลแข่งขึ้นมาก็อย่ามาว่ากัน

อ๊ะ... ไม่ต้องถามความชอบธรรม เรื่องหน้าด้านข้าไม่ยอมลงให้ใครอยู่แล้ว เรื่องด้านได้อายอดนี่ ข้าถือเป็นคติประจำใจในการดำเนินชีวิตมาตลอด จนประสบความรุ่งเรืองมาถึงทุกวันนี้

ข้าก็มีโพลของข้า ทั้งพันทิพ ประชาไท ก็ต้องการให้วโรทาห์เป็นนายกฯ แสดงว่าทั้งประเทศก็ต้องการข้า เราต้องเคารพเสียงส่วนใหญ่ ที่มีคุณภาพในอินเตอร์เน็ต นี่ระหว่างที่หมอเลี๊ยบเดินสาย ข้าก็ให้หมอวีไปเดินเกมส์อยู่

รมต.เราก็มีพร้อม นี่ก็ทาบทามไว้หลายคนแล้ว กะว่าให้พิเภกอินเตอร์ว่าต่างประเทศไป ศึกษาฯนี่ก็ต้องอ.มังกรดำ คุณลูกชาวนาไทยก็ว่าเกษตรฯ ส่วนคุณป้าปากเกร็ดนี่ ก็ต้องกระทรวงวัฒนธรรมและการแต่งกลอน

แต่กระทรวงนี้ก็ยังมีคุณเกียรติมุขแห่งพันทิพเหล่ๆอยู่ ก็ต้องให้ไปเป่ายิ้งฉุบกันเอาเอง กระทรวงการคลังก็คงไม่หนีคุณสินธรจากพันทิพ กระทรวงวิทย์ฯก็ให้เจ้า 3ขวดไป หมอนี่คนรุ่นใหม่ หัวไวใช้ได้

กระทรงยุติธรรมนี่ก็คงต้องให้ คุณเสรีชนกับคุณณ.ณ.ไปตกลงกันเอาเอง ส่วนกระทรวงไอซีทีนี่ต้องคุณทักซิโด้ อ้อ...เกือบลืมอ.ธีระไป ขานี้จองกระทรวงอุตุนิยมและโหราศาสตร์ไว้เรียบร้อย ชนิดไร้คู่แข่ง

พาลีตรีเพชรนี่ไปประจำสำนักนายกฯ ดูแลเขาดิน ส่วนเลขาธิการนายกฯนี่ไม่ต้องมาเหล่ ข้าจองไว้ให้น้อง alpenrose แล้ว จะหาว่าเล่นเส้นก็ยอม เพราะช่วยไม่ได้ ตำแหน่งนี้มันต้องคนรู้ใจ ไม่งั้นความลับรั่วไหล คริ คริ...

ตำแหน่งนอกเหนือจากนี้ก็สำรองไว้ให้พรรคร่วมรัฐบาล เอาไว้แล้วจะค่อยๆทะยอยเปิดตัวกันวันหลัง

เอ้า...หมอเลี๊ยบจะเอาไงก็เอา อย่ามาแถลงความคืบหน้าบ่อยๆ ให้ต่อมอิจฉาข้าทำงานหนัก แล้วก็ขอเตือนให้รีบๆหน่อย ต่อมกระสันของข้ามันใกล้จะระเบิดแล้วนา ต่อมอิจฉาก็บวมฉึ่ง ส่วนต่อมยางอายมันก็อักเสบไปตั้งนานแล้ว

มาถึงขั้นนี้ เรื่องเลวทรามแค่ไหนข้าก็ทำได้ทั้งนั้นแหละ อย่าทำเป็นเล่นไป...

วโรทาห์: 28 ธ.ค. 2550

Thursday, December 27, 2007

โอ๊ย... เครียดๆๆๆ...

พักนี้หันไปทางไหนก็มีแต่คนเครียด ฝ่ายพปช.ก็เครียด ฝ่ายปชป.ยิ่งเครียดไปกันใหญ่ วันนี้ก็เลยเปลี่ยนแนวมาคุยกันเรื่องเครียดๆดีกว่า เพื่อไม่ให้ตกเทรนด์...

ก็เรื่องจัดตั้งรัฐบาลน่ะซี้ เล่นเอาเครียดกันไปทั้งบาง ก่อนเลือกตั้งก็เครียดแทบตาย เป็นกังวลไปหมด นึกว่าหย่อนบัตรเสร็จจะได้พักซักหน่อย กลายเป็นว่า ต้องมาปวดหัวเรื่องจัดตั้งรัฐบาลซะอีก คราวนี้ยิ่งเครียดไปกันใหญ่

แล้วใครขอร้องให้มาเครียดมิทราบ... เสียงทักมาจากไหนก็ไม่รู้ เล่นเอาสะดุ้ง แต่พอมาคิดดู เออ..มันก็จริง เรื่องนี้มันเรื่องของลุงหมักเค้านี่หว่า แล้วทำไมไม่เห็นแกเครียดเลยล่ะ แถมยังมีอารมณ์ไปเดินจ่ายตลาด สบายใจเฉิบ

ยิ่งมานึกย้อนหลังไปเรื่องเลือกตั้งนี่ยิ่งเห็นได้ชัด เรารึไปหลงเครียดแทบตาย ผลมันก็ออกมาเป็นแบบนี้ มาลองนึกดูถ้าเราไม่เครียดซะในตอนนั้น ผลมันก็เป็นอย่างนี้แหละ เออ... แล้วเครียดไปทำไมก็ไม่รู้ กลายเป็นเครียดฟรี ไม่ได้อะไรขึ้นมาซักกะติ๊ด

พอคิดได้ ตั้งหลักใหม่ คราวนี้เลยสบาย มานั่งดูคนอื่นเครียดกันดีกว่า...

ถ้าพูดถึงความเครียด รับรองชั่วโมงนี้ไม่มีใครเกินเจ้ามาร์คม.7 ขนาดว่าพปช.เค้าเป็นฝ่ายจัดรัฐบาลแท้ๆ มันยังคอยสะดุ้งผวาทุกต้นชั่วโมง เป็นกังวลไปหมดว่าใครจะเข้าร่วมไม่เข้าร่วม ลุงหมักจะมีิสิทธิเป็นนายกฯหรือไม่มี

อีกรายก็เจ้าเทือก คู่หูคู่ฮากับเจ้ามาร์คเค้า สองหนุ่มสองมุมทำกิจกรรมเข้าจังหวะ ดิ้นพราดๆเป็นใส้เดือนถูกขี้เถ้า ไม่เป็นอันกินอันนอน ไม่รู้เวรกรรมอะไรของพวกมัน

นี่เห็นว่าอยากเป็นนายกฯจนตัวสั่น ยอมแบอ้าซ่าแล้ว ใครจะเอากระทรวงไหนก็เอา ขอนายกฯไว้อย่างเดียว เลยเข้าทางประชัย ขอนั่งคลัง เหมือนที่เคยต่อรองกับพปช. แต่ถูกตอกหน้าหงาย ไม่ให้หรอกนั่งคลัง ไปนั่งคลั่งก่อนละกัน

เครียดต่อมา จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเจ้าเตี้ยจอมกวน ที่นับถึงชั่วโมงนี้ต้องถือว่า ไม่มีใครจะทำให้คันอวัยวะเบื้องล่างได้เท่าเจ้าหมอนี่ ค่าที่มันยึกยักยียวนกวนประสาทไปเรื่อย เห็นเค้าว่าอยู่ใกล้ๆหน่อยไม่ได้ จะประเคนให้ซักดอก

เลยต้องบอกว่า ใจเย็นๆพวก ที่เห็นท่าทางกวนๆนั่นมันลีลามังกรของเค้า ที่จริงแล้วมันอยากร่วมรัฐบาลใจจะขาด แต่ก็ต้องทำฟอร์มเพื่อเรียกราคา เหมือนแม่ค้าโก่งราคาไปก็เกร็งไป กลัวลูกค้าไม่ซื้อ แต่พอหันหนีเท่านั้นแหละ ลดสะบั้นหั่นแหลก

ตอนนี้ก็พยายามจับพรรคขนาดกลาง ฮั้วกันไว้แล้วไปด้วยกัน ผนึกกำลังกันเพื่อเพิ่มอำนาจต่อรอง เรียกว่าแทบจะเอาโซ่ล่ามไว้กลัวพวกหนี ทำไปทำมาฝ่ายสุวิทย์ต้องบอก พี่... ผมไม่หนีพี่ไปไหนหรอก แต่ลูกน้องน่ะซี่ มันหนีผมไปหมดแล้ว

โถ... ใครๆเค้าอ่าันไต๋ออก เจ้าเตี้ยนี่มันเป็นฝ่ายค้านได้ซะเมื่อไหร่ เดี๋ยวได้อดอยากปากแห้งตายกันพอดี ก็ขานี้ เลือกตั้งทีหมดเงินเป็นกระตั้กๆ ยังทำเป็นด่าว่าคนอื่นซื้อเสียง ก็เพราะมันมั่นใจว่า ตัวเองไม่ต้องซื้อแล้วน่ะซี่

นี่คนสุพรรณเค้าเล่าให้ฟังเองนะเนี่ย เค้าว่าที่นั่นมันซื้อกันจนอยู่ตัว เป็นขาประจำกันจนเชื่อขนมกินได้ หย่อนบัตรไปก่อน พอผลเลือกตั้งออกมาแน่นอนว่าได้แล้ว เงินก็จะหมุนมาเองหลังเลือกตั้ง แจกกันสบายแฮ ไม่ต้องกลัวใบแดง

แต่ไม่ต้องห่วงไปหรอก ลุงหมักแกรู้ใส้รู้พุงพวกนี้ดี เดี๋ยวแกค่อยๆนวดค่อยๆคลึง พอได้ที่เมื่อไหร่เป็นฮั้วแตก วิ่งกันป่าราบ เงื่อนขงเงื่อนไขอะไรไม่ต้องแล้ว ขอร่วมรัฐบาลก็พอ ลุงแกถึงได้อารมณ์ดีไง เราซะอีกไม่รู้ไปเครียดแทนแกทำไม

เ้อ้าเครียดมามากแล้ว หันมาเรื่องเบาๆกันบ้าง...

เป็นอันว่า หลังจากสึกมาหมาดๆ ขนหัวยังไม่ขึ้น ทิดลิ้มก็เอ็นท์ติดลาดยาวยูนิเวอร์ซิตี้เป็นที่เรียบร้อย หลักสูตร 3 ปีมีโบนัสแถมให้อีก 2 ปี สดชื่นไปตามๆกัน นี่ยังไม่รวมออปชั่นอีกหลายคดีนะ เรียกว่างานนี้ฝีมือล้วนๆ ไม่ต้องอาศัยโชคช่วย

มาทางด้านป๋าชัยบ้าง หลังจากสอบตกส.ส.ไปเรียบร้อยแล้ว คราวนี้ก็ค่อยหายใจคล่องคอหน่อย มีเวลาติดคุกให้สบายใจซะที ได้โอกาสคว้าปริญญาชีวิตมากอดอีกใบ ไม่ช้าไม่เร็ว 3 ปี ก็ได้็กลับออกมาสูดโอโซน พอดีเลือกตั้งใหม่เป็นนายกฯคนต่อไป

ยังไงก็ขอให้รักษาเนื้อรักษาตัวให้ดีล่ะ อย่าได้ริอ่านไปสอยเอาปริญญาตัดช่องย่องเบามาเชียว แก่จนปูนนี้แล้ว วิ่งหนีตำรวจไม่ไหวหรอก เผลอๆโดนเจ้าทรัพย์ชกสวนมาตูมเดียว เป็นได้ชักตาตั้งตายคาที่ อดเป็นแล้วนาย้งนายกฯ

เออ... ได้ระบายแล้ว ค่อยหายเครียดไปหน่อย... สวัสดี

วโรทาห์: 27 ธ.ค. 2550

Wednesday, December 26, 2007

สงครามยังไม่เลิก เลือกตั้งเสร็จ ก็รบกันต่อไป

ในที่สุดการเลือกตั้งก็ผ่านไปเป็นที่เรียบร้อย ผลออกมาปชป.ก็เป็นหมู่ ฟปช.เป็นจ่าไปตามความคาดหมาย ป๋าดันเหนื่อยฟรี แถมที่นึกว่าเสร็จศึกจะได้พัก กลายเป็นต้องมาออกแรงดันต่อ เฮ้อ...แก่จะตายชักยังต้องมายักแย่ยักยัน ก็เพราะกิเลสตัวเดียวอันเดียวแท้ๆ


กะไว้แล้วไม่มีผิด งานนี้ไม่มีพลังเงียบ มีแต่พลังโกง นี่ถ้าไม่โกงซะอย่าง เสียงกทม.ก็ชี้ขาด เรียบร้อยโรงเรียนพปช.กวาดส.ส.เกินครึ่งตามเป้า ไม่ต้องลุ้นให้เมื่อย นึกแล้วก็เจ็บใจ แม๊...มันเหยียบจมูกปล้นกันเห็นๆ หน้าด้านหน้าทนไม่มีใครเหมือน


มีอย่างที่ไหน เขตเราพปช.แข็งโป๊กมาตั้งแต่หัวเกรียนยังไม่เป็นบ้า พลังธรรมยังเป็นผู้เป็นคน พปช.เจาะเท่าไหร่ก็ไม่เข้า ล่าสุดปชป.มาหาเสียงชาวบ้านหลบกันวูบวาบ หนีเข้าบ้านปิดประตูเงียบ ทีพปช.มา แหมออกไปยิ้มรับหน้าบาน แต่พอลงคะแนนไหงไปหย่อนให้ปชป. มันจะบ้าเรอะ!


แล้วที่ออกไปเย้วๆที่สนามหลวงเหยียบแสน พอหย่อนบัตรกลับเทให้ปชป.นี่ ยิ่งบ้ากันไปใหญ่ แหมจะปล้นทั้งทีก็ให้มันเนียนๆหน่อยก็ม่ายด้าย สุดท้ายแค่หวังให้พ้นคดีรถดับเพลิงคดีเดียว แต่ดันไปก่อคดีเพิ่มอีกหลายคดี งานนี้หล่อไม่เสร็จ เห็นทีต้องไปหล่อต่อในคุก


หันมาทางเจ้ามาร์คบ้าง ขานี้ก็พยายามซะจริง จะเป็นนายกฯซะให้ได้ ทำอย่างกับจะตายวันตายพรุ่ง ถ้ารอหน่อยมันจะชักดิ้นชักงอรึไงก็ไม่รู้ ประชาชนเค้าขับไล่ไสส่งขนาดนี้แล้ว ยังไม่สำเหนียกก็ไม่รู้จะว่ายังไง วิชาหน้าด้านนี่อ๊ออกฟอร์ดมีสอนด้วยเหรอวะ


แค่คิดก็บ้าแล้ว ตั้งไปได้ยังไงรัฐบาล 247 เสียง เกินครึ่งแค่ 7 เสียง อะหล่งอะไหล่ก็ไม่มี ทำงานไประแวงไป ใครขยับทีก็สะดุ้งกันไปทั้งก๊วน แล้วมันจะสนุกตรงไหน นี่ยังไม่นับว่า ชาวโลกเค้าจะก่นด่าโคตรเหง้าสักหลาดเอาขนาดไหนอีก


แต่อย่างว่าอ้ะนะ จะว่าไปแล้วเที่ยวนี้มันก็รถไฟขบวนสุดท้ายจริงๆ ขนาดว่าทั้งดึงทั้งดัน ทุบถองเคี่ยวเข็ญกันสุดฤทธิ์ ยังเอาตัวไม่รอด วันหน้าวันหลังจะทำแบบนี้อีกก็ไม่ได้แล้ว ชาวบ้านเค้ารู้ทันหมด พ้นจากนี้ไป ปชป.ก็เป็นได้แค่พรรคดาดๆ แล้วค่อยๆสูญพันธุ์ไป


แต่วันนี้ ถ้ามาร์คจำเป็นต้องนั่งเก้าอี้นายกฯให้ได้จริงๆ มันก็ยังพอมีทาง ลองทำวิธีนี้ดู รับรองว่าฮ้อแรด มาร์คก็ประกาศไปเลยว่าสนับสนุนให้ลุงหมักตั้งรัฐบาล แต่ขอข้อแม้กับลุงเค้าว่า วันเด็กปีหน้า ลุงต้องสัญญาว่าจะให้มาร์คนั่งเก้าอี้นายกฯ 2 ชั่วโมงนะ ไม่งั้นมาร์คโป้งจริงๆด้วย รับรองว่าลุงเค้าไม่ใจร้ายใส้ระกำหรอก เชื่อสิ


ระหว่างที่การตั้งรัฐบาลยังไม่สะเด็ดน้ำนี่ ป๋าหมักว่าเครียดแล้วป๋าเติ้งยิ่งเครียดกว่า เห็นเค้าว่าจู่ๆก็เป็นโรคประหลาด ไข่ดันอักเสบกระทันหัน หันไปทางพปช.ทีไรมันเจ็บแปล๊บ เหมือนมีมือที่สามมาบีบไข่ดัน แต่พอหันไปทางปชป.ก็คลาย


ไปหาหมอก็ไม่ว่าอะไร หมอตรวจแล้วจ่ายยาแก้ปวดมา แล้วกำชับว่าห้ามร่วมรัฐบาลกับพปช.เด็ดขาด ถ้ายังไม่อยากตาย อ้าว ไหงเป็นงั้นไป นี่แว่วๆว่าโรคนี้ยังลามไปหาเสี่ยสุวิทย์แห่งพผด. แม้แต่พรรคเล็กพรรคน้อยยังพลอยซวยไปด้วย


ระหว่างที่ฝ่ายปชป.ซึ่งเป็นผู้มีการศึกษาสูงส่ง นั่งแช่งชักหักกระดูกอยู่ทุกวัน วันละสามเวลาระหว่างอาหาร ให้พปช.ตั้งรัฐบาลไม่สำเร็จ ทางฝ่ายพปช.ซึ่งการศึกษาต่ำกว่าก็ต้องเตรียมตัวตั้งรับให้ดี ถ้ายังขืนดื้อดึงตั้งรัฐบาลไป ก็เตรียมเจอกับฝ่ายโค่นได้เลย ขอบอก


งานถนัดของปชป.เค้าหละ ถ้าเป็นฝ่ายรัฐบาลไม่ได้ ก็ขอเป็นฝ่ายโค่นรัฐบาลให้รู้แล้วรู้รอดกันไป รับรอง 99 วันเห็นผล วาระประชาชน ประชาชนต้องตายก่อน กระบวนการก็ง่ายๆ ได้มาตรฐานไอเอสโอ 24500


ขั้นแรกสื่อก็ปูพรมไปก่อนเลย ร่วมมือกับนักวิชาเกิน ใส่ไฟเอาแต่สิ่งร้ายๆเข้าไป ข่าวดีก็ทำให้ร้าย ข่าวร้ายทำให้เป็นข่าวชิกหาย แค่นี้ก็ปั่นป่วนไม่เป็นอันทำมาหากินกันแล้ว ขั้นต่อไปปชป.ถึงจะลงมือเอง งานถนัดเค้าล่ะ จิกด่ามั่วซั่วในสภา โกหกไฟแล่บ เพื่อให้สื่อไปจัดการขยายผล


ถ้าถึงขั้นนี้ยังไม่สำเร็จ พวกกุ๊ยข้างถนนค่อยออกโรง เอาเล็กๆอย่างกุ๊ยสีลมไปชิมก่อน ถ้ายังเฮี้ยนอีกก็ต้องเจอกุ๊ยหัวหมู สุดท้ายเอาไม่อยู่จริงๆ เข้าตาจนแล้วค่อยลากรถถังออกมา ร้านดอกไม้ก็เตรียมดอกกุหลาบไว้ให้พร้อม รับประกันซ่อมฟรีไม่มีพลาด ป๋าหมักก็ไม่มีแผ่นดินอยู่ไปอีกคน


ก็เลยอยากเตือนป๋าหมักว่า อย่าไปคิดให้มากเรื่องเลย หมูหมากาไก่ที่ไหนอยากร่วมรัฐบาลก็ลากเข้ามาเหอะ ป๋าเติ้งอยากเป็นนายกฯนักก็รับปากไป แต่มีข้อแม้ว่าขอป๋าหมักเป็นก่อน เดี๋ยวลุกให้ เสร็จแล้วป๋าก็ถือโอกาสสะสางระบบให้เข้าที่เข้าทางซะ แล้วยุบสภาไปเลย


เรียกว่านัดล้างตากันให้รู้ดำรู้แดง ถ้ายังนอนตายตาไม่หลับกันนัก ขี้คร้านเลือกตั้งใหม่อย่างใสสะอาดเป็นตาตั๊กกะแตน ปชป.ก็กลายเป็นพรรคต่ำร้อย หือไม่ขึ้น จะได้เลิกงอแงกันซะที ประเทศชาติก็จะได้แล่นฉิวปลิวลม ไพร่ฟ้าหน้าใส สบายแฮกันไปถ้วนหน้า


วโรทาห์: 26 ธ.ค. 2550

Friday, December 21, 2007

ไม่มีพลังเงียบ ไม่มีทางเลือกที่สาม ไม่มีปาฏิหาริย์สำหรับ ปชป.

เผลอแป๊บเดียว 21 ธันวาแล้ว อีกแค่ 2 วันก็ถึงนัดล้างตา ใครจะอยู่ใครจะไปก็ได้รู้กันซะที ถ้าว่ากันตามเนื้อผ้าถึงชั่วโมงนี้ ป๋าหมักก็ยังโขยกนำลิ่ว ทิ้งมาร์คมอ 7 ไม่เห็นฝุ่น ทำเอาลิงค่างบ่างชะนีออกอาการถอดใจไปตามๆกัน

ข่าวจากฝั่งปชป. แว่วมาว่าแกนนำหลายคนและสส.กทม.หวั่นไหวกันแทบบ้า เพราะรณรงค์ยังไงกระแสพรรคก็ไม่กระเตื้องซักที ดูแค่เจ้ามะม่วงจำบ่มก็พอ แรกๆทำกรุ้มกริ่มยิ้มไม่หุบ นึกว่าตัวเองเจ๋ง มาวันนี้ลนลาน เก็บอาการไม่อยู่ซะแล้ว

โถ...พ่อคุณแม่คุณ ความรู้สึกช้าจัง เพิ่งจะมาหวั่นไหว เกจิอาจารย์ทางการเมือง เค้าฟันธงมาตั้งกะปีมะโว้แล้ว ดันไม่ฟังกันเอง แถมกรีดเข้าให้อีกหาว่ารับงานมาปั่นกระแส เอากะเค้าซี่

กระแสพรรคมันจะกระเตื้องได้ยังไงเล่า ก็พวกเล่นชูกระแสมาร์คลูกเดียว กะว่าได้ลูกสด-หล่อช่วยพาเข้าป้าย ว่างั้นเหอะ ยิ่งมาเจอป๋าหมัก หล่อก็ไม่หล่อแถมยังปากเสียอีกต่างหาก นึกว่าหวานหมู ขี่กันเห็นๆ ยังไงก็สู้มาร์คไม่ได้

เอาเข้าจริง เจอวาทะมะม่วงจำบ่มเข้าไปช็อตเดียว หงายเก๋งไม่เป็นท่า ลูกพรรคก็เลยเสียรังวัด รวนเรกันไปหมด ปล้ำผีลุกปลุกผีนั่งกันยังไงก็ไม่ฟื้น ล่าสุดนี่ยิ่งไปกันใหญ่ พรบ.มั่นคงออกมาทำเสียคะแนนอีก เฮ้อ... พวกเดียวกันทำกันเองแท้ๆ

เรื่องของเรื่องก็คือว่ามั่ว ไม่รู้มันใช้อะไรคิดกัน ดันเข็นเอามาร์คบอยคอตมาขาย เท่ห์ตายละ ตัวเองทำอะไรไว้ยังไม่รู้ตัว เห็นคนรอบข้างชมเชย ก็เลยนึกว่าคนทั้งประเทศชม เค้าถึงมีคำพังเพยว่ากบในกะลาไง

เมื่อข้อมูลผิดพลาด อะไรๆมันก็เลยผิดฝาผิดตัวกันไปหมด ไอ้ที่ควรด่าก็ไปชม ไอ้ที่ควรชมก็ไปด่า ดันไปชมคมช. ด่าทักษิณเข้าเต็มเปา จริงอยู่มันได้ใจพวกเดียวกัน แล้วนึกหรือเปล่าว่า คนที่เค้าอยู่กลางๆเค้าจะคิดยังไง

ถ้าฉลาดจริง มันก็ต้องรู้หลบเป็นปีกรู้หลีกเป็นหาง ถึงไม่ด่าคมช.ก็อย่าไปชม ถึงไม่ชมทักษิณก็อย่าไปด่า นั่นถึงจะเรียกว่ามือเซียน

นี่ขนาดว่าได้เอกสารลับช่วยด้วยนะเนี่ย แล้วยังไม่รู้ใครต่อใคร ลงขันทอดผ้าป่าสามััคคีอุ้มกันสุดฤทธฺ์ แม้แต่สื่อยังไม่วาย ออกลูกหน้าด้าน เชียร์กันโต้งๆ ไม่ต้องอายฟ้าอายดินกันแล้ว ไม่รู้มันรู้ตัวกันหรือเปล่า ว่าไม่มีใครเชื่อน้ำยามันแล้ว จุดกระแสกี่ครั้งก็แช๊ะๆ แสดงว่าสื่อหมดน้ำอิ๊วแล้ว ก็มันเล่นใช้ต้นทุนซะเกลี้ยง

พวกอำมาตย์ก็ทิ้งทวนไปแล้ว ตั้งแต่ 19 ก.ย. 49 ตอนนี้เหลือแต่ไม้ตีพริก ได้แต่ไล่หวดเปะปะมั่วซั่วไปหมด ช่วยอะไรไม่ได้มาก

ล่าสุดของล่าสุดนี่ เห็นว่ามาไม้ใหม่ กะปลุกกระแสพลังเงียบ เผื่อฟลุคได้ปาฏิหาริย์มาช่วยต่อชีวิตให้รอดตัว ก็ไม่รู้มันเอาอวัยวะส่วนไหนคิดกัน พลังง่งพลังเงียบมันมีที่ไน้ ตอนนี้ที่เหลืออยู่ ก็มีแต่พลังโกงอย่างเดียวที่พออาศัย

จะบอกให้เอาบุญ ไอ้พลังเงียบที่เห็นหวือหวาในอดีตน่ะ มันพวกไม่เอาปชป.แต่ไม่มีที่ไป ไม่มีพรรคให้เลือกว่างั้นเหอะ สาเหตุก็เพราะถูกพวกแกนั่นแหละฆ่าตายหมด พรรคไหนทำท่ามาแรง มันก็รุมใส่ร้ายป้ายสีจนเจ๊งบ๊งไปทุกราย

แต่พักหลังมานี่ พวกนี้เค้าไปหาไทยรักไทยกันหมดแล้ว ก็พรรคที่พวกเอ็งตามล้างตามเช็ดเอาจนเจ๊งไปอีกพรรคนั่นแหละ ตอนแรกก็ใช้ลีลามาตรฐาน อภิปรายในสภากะด่าเช็ดแบบด่าเตี่ยเจ้าเตี้ย จนหงายเก๋งไม่เป็นท่า

แต่คราวนี้มันไม่ง่าย ไทยรักไทยเค้าแข็งแกร่ง ตียังไงก็ไม่ลง คราวนี้เลยออกลูกเกเร เป็นกุ๊ยข้างถนนเลย เมื่อยังไม่สำเร็จอีก ก็ลอบฆ่า สุดท้ายก็หนีไม่พ้นสูตรสำเร็จ ลากรถถังออกมา เรียกว่าทิ้งทวนกันเลยแหละ

ตอนแรกก็นึกว่าเรียบร้อยโรงเรียนจีนไปแล้ว แต่มันดันไม่ง่าย เพราะประชาชนไม่เล่นด้วยซะดื้อๆ เรื่องมันเลยทำท่าจะบา็นไม่หุบ

ก็โถ... พอชาวบ้านเค้าเริ่มมีอันจะกิน สำรับเค้าเปิบกันอยู่ดีๆ ก็มากระชากไปเฉย หลอกว่ามียาพิษ ปีกว่าแล้วพิสูจน์หายาพิษไม่เจอ ยังมาแถ คงเห็นประชาชนเป็นถึกมั้ง...

พอทำอะไรไม่ได้อีก ก็เล่นง่าย ยุบพรรคซะเลย ที่ไหนได้เค้าไปตั้งพรรคมาใหม่ ไฉไลกว่าเก่าอีก

แล้วเป็นไงล่ะ ไอ้ที่ตอนแรกกะฟัดทักษิณให้หงายเก๋ง ทำไปทำมากลายเป็นฟัดกับประชาชนซะฉิบ หนอย... ยังมีแถอีก หาว่ารับเงินมาต่อต้าน เออ.. เอาเข้าไป มันคิดได้แค่นี้ไง ถึงได้เจ๊งตลอด เงินที่ไหนมันจะซื้อใจกันได้ถึงขนาดน้าน

แล้วถ้ามันได้จริงๆ แกก็ซื้อมั่งมันจะผิดกติกาตรงไหน เงินทองก็มีออกเยอะแยะ ภาษีประชาชนนั่นไง เบิกกันเข้าไป จะเป็นงบลับลบแจ้งก็ว่าไป เอาอัฐยายมาแพ่นกบาลยาย สนุกสนานบานตะเกียงจะตายไป

พอตอนนี้ทำเป็นจะเข้าหาประชาชน แต่ยังไม่วายปากแข็งด่าทักกี้อีก เออ... เอ็งก็จั่วลมไปเหอะ งานนี้ตายเป็นตายเจ๊งเป็นเจ๊ง ยังไงประชาชนก็ไม่ยอม แล้วอย่ามาแหลว่าทักษิณสั่งอีกล่ะ ประชาชนเค้าไม่ยอมเอง ถึงทักษิณยอม เค้าก็ไม่ยอม

บอกแล้วที่ผ่านมา ไล่ทุบทักษิณแทบตาย ดันล่อประชาชนเข้าไปเต็มเปายังไม่รู้ตัว บังคับให้เค้าเลือกข้าง เค้าก็เลือกแล้วไง แต่เลือกทักษิณว่ะ ทีนี้จะมาสมานฉันท์ ไม่สายไปหน่อยเหรอ ทำไมไม่พูดตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว ตอนเค้ากำลังไล่ทุบทักษิณน่ะ

หนอย... ยังมีขู่ บอกถ้าเลือกพปช.จะป่วนซะให้เข็ด ประชาชนเค้าเลยฝากบอกมาว่า ได้เลย ไม่มีปัญหา ยังไงก็เลือก ถึงเวลาก็กล้าๆออกมาป่วนละกัน จะได้ดูว่าบาทาใครมากกว่ากัน คนไทยนี่พูดกันดีๆยังพอฟัง แต่ถ้ามาข่มขู่กันละก็ เรื่องยาว

แต่เอาหล่ะ ไหนๆก็ไหนๆแล้ว มาถึงขั้นนี้จะแก้ไขอะไรก็ไม่ได้แล้ว ทางใครก็ทางมัน 23 ธันวา เจอกันที่คูหา ได้รู้กันใครหมู่ใครจ่า ก็เลยถือโอกาสนี้มองข้ามช็อตไปเลยดีกว่า

หลังเลือกตั้งจะว่าไปแล้ว ใครจะเป็นรัฐบาลมันก็ยุ่งทั้งนั้นแหละ แต่ยุ่งกับพปช.ยังมีอนาคตหน่อย ขืนไปยุ่งกับปชป.ก็มีแต่ตายลูกเดียว เพราะเพื่อนดันไปรับอุปการะคุณจากเผด็จการเข้าเต็มเปา จะทำอะไรมันก็ต้องเกรงใจกันหน่อย

เพราะฉะนั้น อย่ามาแสดงวิสัยทัศน์ให้เหม็นขี้ฟัน ตราบใดที่ยังต้องรายงานตรงต่อสี่เสา ก็อย่าหวังว่าจะทำอะไรได้ ขืนทำซ่าสิ มันได้โค่นทิ้งอีก แล้วคราวนี้อย่าหวังว่าประชาชนจะช่วย มีแต่จะช่วยกระทืบซ้ำละไม่ว่า

นั่นว่ากันทางฝั่งเผด็จการ คราวนี้ข้ามมาทางฝั่งประชาธิปไตยบ้าง ยังไงก็อย่าไปเล็งผลเลิศกับการเลือกตั้งครั้งนี้มากนัก เพราะต่อให้ชนะถล่มทะลายยังไง เรื่องก็ยังไม่จบ หรือถึงจะแพ้พลังโกง โลกนี้ก็ยังไม่แตกสลาย

การต่อสู้เพิ่งเริ่มต้น อย่าโหมมาก จะพาลหมดแรงเอาซะก่อน รบไปพักไป ออมแรงไว้เล่นกันยาวๆ ถึงจะเรียกว่าฉลาด นี่อย่างน้อยก็เดินมาได้กว่าครึ่งทางแล้วหละ... ก็คิดดูสิ มียุคไหนบ้างที่ประชาชนจะร่วมกันต่อต้านเผด็จการได้มากขนาดนี้

ทั้งๆที่พวกอำมาตนย์ทุ่มเมสรรพกำลัง ทิ้งบอมบ์กันทั้งวันทั้งคืน เปิดหน้าเล่นอย่างไม่อายฟ้าดิน เพื่อเอาทักษิณให้อยู่หมัด บอกได้เลย ถ้าลำพังทักษิณเหรอ ล่องจุ๊นตายหยังเขียด ไปตั้งแต่ยกแรกแล้ว ต่อให้มีเงินมากกว่านี้อีก 10 เท่าเอ้า

เรื่องของเรื่องก็ประชาชนตัวแสบของอำมาตย์นี่แหละ ก่อตัวเป็นผนังทองแดงกำแพงเหล็ก ปกป้องคุ้มภัยให้ เล่นเอาเหล่าอำมาตย์ควันออกหู ด่าประชาชนเช็ดเม็ดว่าโง่เง่า ไม่รู้จักแยกแยะ คุณธรรมจริยธรรม

ประชาชนตาดำๆ ก็ได้แต่เจ็บใจ กัดฟันกรอดๆ แล้วคิดในใจดังๆ เออ... ตูโง่ เมิงจะทำไม

โบราณว่าไว้ เมื่อช้างสารชนกัน หญ้าแพรกก็แหลกราน แต่งานนี้หญ้าแพรกบอกว่าบ่เป็นหยัง เที่ยวนี้หญ้าขอออกโรงล่อกะช้างเอง ยังไงช้างก็อย่าถอดใจซะก่อนล่ะ เล่นกันยาวๆถึงจะมัน ตายเป็นตาย เจ๊งเป็นเจ๊ง เอากันให้ชิกหายไปข้าง ไม่งั้นมันไม่สะเด็ดน้ำซ้ากที

หลังจากผ่านศึกหนักมาทั้งปี สุดท้ายพปช.ก็เขียนประวัติศาสตร์หน้าใหม่ กลายเป็นพรรคของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชนเป็นพรรคแรก

แถมยังก้าวหน้าไปถึงขั้นเป็นจิตวิญญาณประชาธิปไตย มีชีวิตเป็นอมตะ ฆ่าไม่ตายขายไม่ขาด ฆ่าได้ก็เกิดใหม่ได้ เป็นนกฟินิกซ์ไปซะแล้ว

ดังนั้น เรื่องยุบพรรค ก็อย่าได้ไปคิดให้เมื่อยตุ้ม ขืนยุบไปก็ตั้งใหม่อีก เพราะจิตวิญญาณยังอยู่เป็นอมตะ ยิ่งยุบไป เกิดใหม่ก็ยิ่งแกร่ง ใครมันจะกล้าเสี่ยง

หันมาทางปชป. ก็ขอให้ทำใจซะเถอะว่า ต่อไปนี้ก็มีแต่สาละวันเตี้ยลงๆ เพราะที่ผ่านมาดันไปเล่นบทผู้ร้ายเข้้าให้เต็มเปา ดันไปยืนอยู่ตรงข้ามประชาชน เป็นตราบาปไปชั่วชีวิต ไม่มีโอกาสกลับมายิ่งใหญ่อีกแล้ว

ยิ่งดูบุคคลากรที่มีอยู่ก็ยิ่งหมดหวัง เพราะล้วนแต่พวกรุ่นเก่าโบราณ แม้แต่คนรุ่นใหม่ก็ใหม่แต่ตัว แต่ในหัวนี่โบราณสุดๆ ไม่มีหวังที่จะไปตามทันพปช.แล้ว มีแต่ถูกทิ้งห่างไปเรื่อยๆ

กลายเป็นว่าเมืองไทยกำลังพัฒนาไปสู่ระบบพรรคเดียวซะแล้ว หลังจากโค่นพรรคอำมาตย์ลงในที่สุด

เอ้า... 23 ธันวา เข้าคูหาแต่ไก่โห่ ไปกาโหลให้เกินครึ่ง... สวัสดี

วโรทาห์: 21 ธ.ค. 2550

Wednesday, December 19, 2007

การเมืองเรื่องสบายๆ...

ยิ่งใกล้วันเด็ดปีกเผด็จการ ดีเดย์ที่ 23 ธันวานี่ จับกระแสได้เลยว่า หลายฝ่ายต่างเครียดไปตามๆกัน ฝ่ายประชาธิปไตยก็เครียดกลัวถูกโกง ฝ่ายเผด็จการยิ่งเครียดหลาย เพราะเป็นที่แน่นอนแล้วว่า ประชาชนเค้าตัดหางปล่อยวัดแน่ ไม่งั้นจะออกมาดิ้นกันถึงขนาดนี้เรอะ

เพราะฉะนั้น ก็เลยต้องชักชวนให้มาคุยกันแบบสบายๆเพื่อคลายเครียด ไม่ได้ว่าจะเล่าเรื่องโจ๊กอะไรหรอก แค่ว่ามาพูดคุยกันเล่นๆให้ผ่อนคลาย มองการเมืองอย่างสบายๆไม่ซีเรียส

นี่ว่ากันเฉพาะฝ่ายประชาธิปไตยนา แต่ถ้าฝ่ายอื่นจะมาแจมด้วยก็ยินดีต้อนรับ เพราะเรารู้ว่าคุณก็เครียด แต่ขอร้องอย่ามาป่วนกันเด้อ

เรื่องที่เราจะมาคุยกัน ก็จับเอาประเด็นการเมืองเครียดๆนี่แหละ มาคุยกันแบบเบาๆ ในวันสบายๆ ศัพท์แสงไม่ต้อง ฟังไม่รู้เรื่อง อ้ายเราก็ยิ่งโง่ๆอยู่ จบม.6 หวังต่อม.7 ยังไปไม่รอดเลย ภาษาปะกิตก็ไม่ต้อง ไม่ใช่ว่าเราอ่านไม่ได้ เพียงแต่แปลไม่ออก

จะว่าไปแล้วเรามันก็หัวอกเดียวกัน จับพลัดจับผลูท่าไหนก็ไม่รู้ จู่ๆก็ถูกถีบให้เข้ามาในสนามรบเฉย ทั้งๆที่ไม่ได้มีเจตนาซักกะติ็ด แต่อย่างว่านะ คนไทยเรามันเลือดนักสู้อยู่แล้ว ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ก็ต้องเอาซะหน่อย

พวกเผด็จการนี่มันก็เหลือเกิน มาหักหาญกันถึงขนาดนี้ ถ้าไม่ล่อกะมันซักตั้งก็หมาหละวะ เสียแต่ว่าเราก็ไม่เคยต่อสู้กะใครเค้า เลยทำอะไรไม่ค่อยถูก ไปไม่ค่อยเป็นเหมือนกัน

แต่ออกตัวไว้ก่อนนา... อันตัวเรานี้ก็ใช่ว่าเก่งกล้ามาจากไหน ตีรันฟันแทงกะใครก็ไม่เป็น ความรู้ก็น้อย อาศัยว่าฟังมากเลยพอโม้ได้ ภาษาอังกฤษก็เสน็คๆฟิชๆ ให้พูดน่ะพอได้

ฟุตฟิตฟอไฟไอยู ฝรั่งฟังเข้าใจ เสียแต่ว่าพอมันตอบกลับมา เราดันฟังไม่รู้เรื่องซะเอง เลยจนใจ ไม่รู้จะคุยกันยังไง

แต่ถ้าเป็นภาษาไทยนี่ค่อยยืดได้หน่อย พูดก็ได้ฟังก็ดี อ่านออกเขียนลื่น แต่งกลอนก็ยังพอไหว ถึงไม่เก่งอย่างป้าปากจัดเอ๊ยปากเกร็ด แต่ก็ยังแหลไปได้เรื่อย เพียงแต่ที่ยังเอาดีไม่ได้ เพราะเป่าขลุ่ยไม่เป็น

เรื่องการเมืองก็พอโม้ได้ ถึงแม้ไม่เชี่ยวขนาดคุณลูกชาวนาไทย แต่ถ้าเทียบกันปอนด์ต่อปอนด์ก็ยังกินกันลำบาก ถึงไม่เข้าขั้นมหา'ลัยแบบป๋าหมัก แต่ก็ไม่ถึงกับเด็กอนุบาลแบบป๋าชัย

ยิ่งเรื่องธุรกิจนี่ชัวร์ป้าด ใครก็อย่าได้มาแหยม ถึงไม่รุ่งอย่างพ่อทัก แต่วิสัยทัศน์ก็ทิ้งกันไม่ขาด นี่ยังกะว่าจะทำโครงการแปรรูปสินค้าการเกษตร ผลิตซีเรียลจากแกลบ... โห... ไอเดียใหม่ ตลาดขานรับกันตรึม

เรื่องของเรื่องก็มาจากวิสัยทัศน์นั่นแหละ หลังจากที่วิเคราะห์สถานการณ์บ้านเมืองดูแล้ว สรุปได้ว่า ท่าทางปีหน้าตูต้องกินแกลบเป็นแน่แท้ ก็เลยมาคิดต่อยอดว่า จะกระเดือกมันลงไปยังไง ไม่ให้ฝืดคอ

โชคดีเหลือบไปเห็นโฆษณาอาหารเช้าสำเร็จรูปซีเรียล ตอนที่ท้องร้องพอดี ก็เลยยูเรก้า สมองแล่นปรู๊ดปร๊าด ยังกะท้องร่วง

เรื่องเงินทุนไม่มีปัญหา โครงการที่มีความเป็นไปได้สูงซะขนาดนี้ เปิดขายหุ้นเมื่อไหร่ ขี้คร้านคนแย่งซื้อ ถึงเหยียบกันตาย นี่ก็รอแค่ผลการเลือกตั้งเท่านั้นแหละ ถ้าูปชป.เข้าวินละก็โป๊ะเช๊ะ โครงการเดินหน้าเต็มสูบ รวยเละสะดือปลิ้นแน่ๆ

เสียวอยู่อย่างเดียว ตอนนี้กระแสกาโหลมันแรงเลื้อเกิน เกิดจับพลัดจับผลูพวกหยุด พปช.ไม่อยู่ละมีหนาวแน่ โครงการดีๆอย่างนี้คงต้องมีอัน พับฐานไปตามระเบียบ

จะว่าไป ก็ต้องโทษพ่อมิ่งนั่นแหละ เห็นขายรถอยู่ดีๆ ไม่รู้เดือดร้อนอะไรนักหนา ถึงต้องมาเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจให้พปช.เค้า

แค่แซมเปิ้ล ดูแสดงวิสัยทัศน์นิดๆหน่อยๆ ลมก็จะใส่ซะให้ได้ โครงการแต่ละอย่างพูดได้จ๋อยๆ อธิบายได้เป็นฉากๆ แล้วที่สำมะคัญ แต่ละโครงการก็ทำท่าว่าจะไปได้สวยซะด้วย อย่างนี้แล้วใครเค้าจะมากินแกลบอีกละพ่อคุณ

เอาละ... ถ้าอยากแสดงวิสัยทัศน์โชว์พาวนัก ก็ไม่ว่ากัน แต่ก็น่าจะเกรงใจกันบ้าง เอาแค่พอหอมปากหอมคอ ดูอย่างปชป.นั่นปะไร พูดอะไรก็ได้มั่วๆไป คนดูก็ฮากันตรึมแล้ว

คิดไปคิดมา เห็นท่าว่าจะต้องเปลี่ยนใจไปช่วยกาบัตรให้ปชป.เค้าซะแล้ว ยังไงพี่น้องก็็อย่ามาว่ากันหละ ประเทศชาติสำคัญก็จริง แต่ปากท้องยิ่งสำคัญกว่า ประชาชนต้องมาก่อน ประเทศชาติถึงจะตามมาทีหลัง แน้... ทันสมัยซะด้วย

แต่เอาละ! ถ้าถึงคราวมันจะมีอันเป็นไปจริงๆ ก็ช่างมัน ยังไงก็บ่ยั่น วิสัยนักธุรกิจที่ดี เค้าไม่ไปเสี่ยงหมดหน้าตักอยู่แล้ว จะบอกให้

นี่ก็มองทางหนีทีไล่ไว้แล้ว ติ๊งต่างว่าเกิดโชคร้าย ปชป.ตั้งรัฐบาลไม่ได้จริงๆ โครงการซีเรียลจากแกลบ ถึงกับมีอันต้องพังพาบไป ก็ยังมีโครงการสำรองอยู่ในลิ้นชักอีก 1 โครงการ

โครงการหญ้าสำเร็จรูปพร้อมรับประทาน... อ้ะ! ทำเป็นเล่นไป โครงการนี้ถึงแม้จะไม่หวือหวา แต่ตลาดยังไปได้อีกไกลโข เพราะความต้องการรับประทานหญ้ายังมีอยู่อย่างต่อเนื่อง

ถึงแม้ผู้บริโภคจะมีอยู่จำนวนจำกัด แต่วอลลุ่มเอ๊ยปริมาณการบริโภคต่อวันสูงมาก อย่างมีนัยยะสำคัญ โฮ่ๆๆ... ใช้ศัพท์วิชาการ เท่ห์ซะไม่มี เดี๋ยวจะหาว่ารู้ไม่จริง

อ้าว... พอได้จ้อเรื่องธุรกิจ เลยเกิดอาการน้ำลายแตกฟอง ยังไม่ได้เข้าเรื่องการเมืองซักกะติ๊ด เวลาก็หมดลงซะและ คงต้องยกยอดไปว่ากันต่อในวันพรุ่งนี้

อย่าลืมว่าเรามีนัดกันทุกวันที่ www.prachathai.com แน่นอน เพราะม๊อดที่นี่ใจดี แต่พันติ๊ปยังต้องปรับปรุง เพราะลบบ่อยเอาเรื่องเหมือนกัน ใจคอจะไม่ให้แฟนขับ เค้าพบหน้าค่าตากันเลยหรือไงจ๊ะ

ถ้ายังไงก็เอาหูไปนาเอาตาไปไร่บ้างก็ได้นะจ๊ะ อันไหนพอผ่านได้ก็หยวนๆกันไปเหอะ อย่ากลัวไปนักเลย ถ้าใครกล้ามาจับขอให้บอก จะไปประกันตัวให้ ฮ่าๆๆๆ ล้อเล่น...

เอ้า! ตามธรรมเนียม... เราจากกันด้วยคำขวัญประจำวัน...

ของห่วยต้องซี้ ของดีต้องโหล กาโหล ๆ ๆ ๆ

วโรทาห์: 19 ธ.ค. 2550
===============

Tuesday, December 18, 2007

ซุบซิบดาราการเมือง-ประชัยกรวดน้ำ, มาร์ค 6 ล้อ

ไม๊ล่ะ! เพิ่งเล่าไปแหม็บๆ เรื่องเจ้าสัวประชัยอาละวาดบ้านแตก วันที่รับเชิญเข้าคุก กินฟรีอยู่ฟรี 3 ปีไม่ต้องจ่ายซักแดง หนอย... ลูกน้องเจ้่ากรรมดันจะมาขัดลาภ เลยเทศนาซ้า.. กัณฑ์ใหญ่

ฟังเทศน์จบ กะเตะล้างน้ำถวายวัดอีกต่างหาก ดีที่นึกขึ้นได้ว่าถือศีลห้าเลยยั้งทีนไว้ทัน ปล่อยให้พวกลูกน้องเดนตาย ถวายบังคมลา แยกย้ายกันเผ่นแน่บ บ้านใครบ้านมัน

ความที่รีบร้อนไปหน่อย ลืมสนิทว่าฟังเทศน์เสร็จต้องกรวดน้ำ เลยมารวมพลกันใหม่ ถือเอาฤกษ์งามยามดีวันนี้ ทำพิธีกรวดน้ำคว่ำขันออกจอทีวี ขอให้เจ้าสัวจงเจริญ... อย่าได้มีเวรมีกรรมต่อกันอีกเลย...

ก็หวังว่าเรื่องวุ่นๆจะได้จบกันซะที แล้วอย่าได้ออกมาฮาอีกล่ะ เดี๋ยวตลกเค้าจะตกงานกันหมด

ข่าวใหญ่อีกข่าว ถือว่าซวยไม่แพ้กัน ก็ต้องยกให้มาร์คหกล้อ งานนี้เจ้ามะม่วงจำบ่มดันเล่นของหนัก เสยท้ายหกล้อซะเยินมาเมื่อคืน ข่าวล่ามาเรือเกลือบอกว่า งานนี้ไม่ใช่อุบัติเหตุ แต่มันมีเหตุ

เรื่องของเรื่อง ช่วงนี้เจ้าม.7 กำลังกลุ้มหนัก ไม่ว่าจะทำท่าไหน เรตติ้งก็ยังตกรูดมหาราด รั้งไม่หยุดฉุดไม่อยู่ พอระหว่างนั่งรถกลับจากหาเสียงที่โคราช เห็นรถบรรทุกแล่นกันเกลื่อนถนน แผนชั่วก็ก่อตัวขึ้นในสมอง ตามสัญชาตญานงานถนัด

จัดการสั่งเจ้าเทือกคนขับรถ ให้ขับรถเสยท้ายหกล้อไปเลย เผื่อเป็นข่าวกระชากเรตติ้งให้โงหัวขึ้นมาซักหน่อย ข้างเจ้าเทือกนี่มันก็บ้าจี้อยู่แล้ว พอได้รับคำสั่งปุ๊บ มองเห็นสิบล้อข้างหน้าลิบๆ ก็เร่งเครื่องไล่กวดทันทีแล้วบอกลูกพี่...

ผมว่าเสยสิบล้อไปเลยดีกว่าลูกพี่ ทีเดียวเนื้อๆเน้นๆ ให้เป็นข่าวใหญ่ขึ้นหน้าหนึ่งไปเลยเพ่! เล่นเอาเจ้ามาร์คสะดุ้งแปดตลบ ตาลีตาเหลือกห้ามทัพเจ้าเทือกเสียงหลง เฮ้ยๆ อย่าๆ..

จะบ้าเรอะ ไปเล่นก๊ะสิบล้อ เกิดมันเสยเอาคืนขึ้นมา มันจาคุ้มมั้ย ไม่ต้องถึงขนาดน้าน... เอาเบาะๆแค่หกล้อนั่นแหละดีแล้ว แค่เป็นข่าวเล็กๆก็พอถมถืด ไม่ต้องถึงขนาดพาดหัวตัวไม้ เป็นข่าวสลดเขย่าวงการหรอก

ขนาดนั้นยังไม่วาย อุตส่าห์บอกให้เสยเล็กๆ มันยังล่อซะกระโปรงหน้าเยินเป็นหน้าป้าย่น ข่าวบอกว่า เป็นเพราะเจ้าเทือกมันเห็นว่า เจ้าหกล้อคันนั้นดันติดโลโก้ ตูชอบระบอบทักษิณ

เย้ยกันซะขนาดนี้ มันหยามกันชัดๆ เหมือนเอาเท้ามาถีบหน้าเจ้านาย มันเลยแค้นแทนจนเลือดขึ้นหน้า จัดการล่อซ้า... อย่างที่เห็น

นี่ถ้าเป็นรถตาชวนเรื่องก็คงไม่เกิด เพราะเจ้าไข่คนขับรถ มันก็หวานเย็นพอๆกะลูกพี่มัน ไม่เคยตามใครทัน จึงวางใจได้ว่าไมมีโอกาสเสยท้ายใคร มีแต่ถูกเสยท้ายซะเอง... นอกจากซวยจริงๆ อย่างคราวที่ไปล่อท้ายมอร์ไซค์เข้า

ที่ชนก็ไม่ใช่ว่าวิ่งเร็ว แต่มอร์ไซค์จอดติดไฟแดง เจ้าไข่ดันหลับในมาแต่ไกล เสยโครมเข้าเต็มเหนี่ยว ตาชวนนอนหลับเพลินๆอยู่ที่เบาะหลัง ตาลีตาเหลือกลุกพรวดพราดขึ้นมา นึกว่าโดนลอบสังหาร พอถามว่าเกิดอะไรขึ้น เจ้าไข่ตอบหน้าตาเฉย

ยังไม่ได้รับรายงาน...

กลับมาทางเจ้ามาร์ค งานนี้เห็นทีจะซวยไม่เลิก ขนาดโทรเข้ากทม. ให้เอาเบนซ์ไปรับ ก็ดันไปเบรคค้างอยู่บนทางด่วนอีก พอแท็กซี่รู้ว่าซวยขนาดนี้ เลยไม่มีใครกล้ารับ กลัวติดเชื้อ...

หันมาทางพีเน็ต องค์กรกลางค่อนไปทางปชป. ล่าสุดนี่เห็นบอกว่ายกธงขาว ไม่จัดแล้วดีบ่งดีเบต เหตุเพราะป๋าหมักไม่เข้าร่วม ไหมล่ะ... พอเค้าไม่เข้าร่วมนี่ถึงกับล่มปากอ่าวเลยเรอะ มิน่าถึงพยายามนัก ทั้งปลอบทั้งขู่เคี่ยวเข็ญให้เข้าร่วมให้ได้

มันขู่กันถึงขนาดว่า ถ้าป๋าหมักไม่เข้าร่วม มันจะเอาชมพู่มาวางแทน ดูมันทำ ป๋าหมักเลยสวนไปว่า ถ้านึกว่าชมพู่มันดีเบตกับเจ้ามาร์คได้ก็เอาเลย มุกนี้เลยแป้ก เปลี่ยนแนวมาเป็นโอ้โลมปฏิโลมก็แล้ว ป๋าหมักยังไม่ยอมใจอ่อน

มาวันนี้หางโผล่แดงเถือก ชาวบ้านเลยรู้กันหมดว่า อ้อ... ที่แท้มันก็รู้กัน ไม่ได้ตั้งใจว่าจะดีเบตอะไรหรอก แต่กะจะล่อป๋าหมักไปให้มันรุมยำ ด่าเก็บคะแนนช่วงโค้งสุดท้าย แถมกระทืบพปช.ให้จมธรณี เพราะคะแนนทิ้งห่างจนตามไม่ทันแล้ว

มิน่าล่ะ พอไม่ได้อย่างใจก็เลยล้มโต๊ะ ไม่ยอมจัดดีเบตกันเอง อ้อ... แล้วก็อย่าลืมเอาเงินไปคืนป้าสดด้วยล่ะ เงินสนับสนุนอะไรจากกกต.น่ะ

แม้... มันเล่นกันเป็นทีม ไม่อายฟ้าอายดิน แต่ขอโทษ... ไม่ได้กินป๋าหมักของข้าหรอก

ส่วนเจ้ามาร์คที่เต้นแร้งเต้นกายิกๆ ท้าทายอยู่เหย็งๆ อยากดีเบตใจจะขาด งานนี้ก็รับประทานแห้วไป ถ้าอารมณ์ยังค้างอยู่ ก็ไปดีเบียดเอาละกัน ฮา...

การเมืองเข้าใกล้จุดไคลแม็กซ์ ดูๆไปก็น่าสงสารพวกมาร เห็นดิ้นกันพล่าน เมื่อรู้ว่าแพ้ไม่มีหูรูดแน่ เล่นกันทุกวิถีทาง ถึงขนาดเล่นคุณไสยฯก็ยังเอา เห็นว่าให้คนแก่ออกเดินสายแช่งชักหักกระดูกแล้วนี่... ยังไงก็ระวังไว้หน่อยนะ เจ้าเฒ่า ไม่เอ่ยชื่อใคร มันจะเข้าตัวเอาเน้อ...

ข่าวมีมาก เนื้อที่มีน้อย เลยต้องขอลาไปก่อน วันหน้าค่อยพบกันใหม่ แล้วอย่าลืมล่ะ...

23 ธันวานี้ เลือกคนดีเข้าสภา กันหมูหมาไปอยู่ข้างนอก กาโหล ๆ ๆ ๆ

วโรทาห์: 18 ธ.ค. 2550

Monday, December 17, 2007

ในเมื่อฟ้าส่งมาร์คมาเกิดแล้ว ใยต้องส่งลุงหมักมาด้วย ???

ที่ร้านอาหารภายในโรงแรมหรูหราใจกลางมหานคร กุ๊กชรารูปร่้างสูงใหญ่ถือตะหลิวเดินออกมาจากห้องครัว ตรงไปที่โต๊ะอาหารซึ่งตั้งอยู่ในมุมลับตา

"สวัสดีครับพี่" ชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่ที่โต๊ะลุกขึ้นยกมือไหว้ทักทาย เขาสวมสูทสีน้ำเงิน สวมแว่นตาสีดำ ลักษณะเป็นนักธุรกิจใหญ่

"อ้าา... หวัดดีๆ มีอะไรให้ช่วยล่ะ!" ชายชรารับไหว้แล้วนั่งลง เอาตะหลิววางลงบนโต๊ะ

นักธุรกิจผู้นั้นเลื่อนกล่องกระดาษใบใหญ่บนโต๊ะ ทำการส่งมอบให้กุ๊กเฒ่า ชายชราเปิดออกดูทันที เป็นธงผืนใหญ่พิมพ์อักษร พปช.ตัวใหญ่เบ้อเร่อ และชุดสูทสีเดียวกับที่ชายผู้นั้นสวมอยู่

"คือว่า... ผมมาขอให้พี่ช่วยถือธงให้หน่อยครับ"

"อ๊า... ไม่มีปัญห๊า ได้ๆๆๆ" กุ๊กเฒ่ารับปากทันทีโดยไม่ต้องคิด ขณะที่พลิกธงไปมาอย่างชื่นชม

"เอ่อ... พี่ทราบหรือยังครับว่าต้องสู้กับเจ้าทหารแขกนอกแถวคนนั้น" นักธุรกิจป้อนคำถาม เพื่อย้ำให้แน่ ว่าเข้าใจตรงกัน

"ก๊ากก.. ชิวๆ.. ตอนไอ้กระพ้มเป็นรัฐมนตรี มันยังจีบแม่ค้าไข่หวานอยู่ที่เพชรบูรณ์เล้ย ไม่มีปัญหาๆ"

"แล้วพี่ยังต้องเจอกับเจ้าเด็กม.7 ด้วยนะครับ"

"ก๊ากก.. กั่กๆ.." คราวนี้หัวเราะหนักกว่าเก่า น้ำตาเล็ดน้ำตาร่วงกว่าจะพูดต่อได้ "มะม่วงจำโบ่ม... ตอนเหลิมเป็นดาวรุ่งอยู่ในพรรคมัน มันยังตัวเท่าลูกหมา นุ่งกางเกงขาสั้นมาโต๋เต๋ๆ อยู่ที่พรรค ให้เค้าใช้วิ่งซื้อโอเลี้ยง... ใช้ได้ๆ... ก๊ากกก.. กั่กๆ.."

"ถ้างั้น ผมก็เบาใจ ยังไงก็ขอฝากพี่ด้วยนะครับ"

"ได้ๆๆ ไม่มีปัญหาๆ... โอ๊ยขำ" ชายชรายังคงขำไม่หาย

หลังจากชายผู้นั้นลากลับไปแล้ว กุ๊กเฒ่าก็ถอดเครื่องแบบกุ๊กออก เปลี่ยนเป็นชุดสูท ออกปฏิบัติการทันที

@@@@@

ที่ค่ายทหารแห่งหนึ่งในสารขัณฑ์ ภายในอาคารสำนักงานไม้เก่าคร่ำคร่า นายทหารใหญ่ในชุดเครื่องแบบปกติสีขี้ม้า กำลังนั่งเซ็งอยู่ที่โต๊ะทำงาน

เขาเป็นชายร่างอ้วน ผิวดำ หน้าตากระเดียดไปทางแขก ลักษณะไม่มีสง่าราศี ถ้าถอดเครื่องหมายยศออก ใครๆต้องเข้าใจตรงกันว่าเป็นลุงขับแท็กซี่

เบื้องหน้าเขา มีเด็กหนุ่มหน้าแหลม ฟันเกนั่งอยู่ มันฟูมฟายพิรี้พิไร จะเป็นจะตาย ปากก็พล่ามไม่ยอมหยุด

"แง๊... มาร์คอยากเป็นนายกฯ มาร์คอยากเป็นนายกฯ แง... ลุงหมักมาแย้ว มาร์ค อดแน่เลย ไม่ยอมด้วย แง... ฟ้าส่งมาร์คมาเกิด แล้วทำไมต้องส่งลุงหมักมาด้วย แง..."

"มาร์ค..." นายทหารผู้นั้นอ้าปากจะพูดปลอบใจ เจ้าเด็กนั้นได้ทียิ่งส่งเสียงร้องดังขึ้นไปอีก

"แง๊... ไม่รู้ด้วย น้าบังต้องช่วยมาร์คด้วย แงๆๆๆ..."

"มาร์คฟังน้าก่อน..." พอตั้งท่าจะพูดอีก เจ้าเด็กบ้าก็ยิ่งแหกปาก เร่งวอลลุ่ม แผดเสียงร้องจนห้องแทบแตก

"แง๊..."

"ปัง! เมิงจะฟังตูไม๊!" ทหารแขกทุบโต๊ะเสียงดังสนั่น จนสะเทือนไปทั้งห้อง ตามมาด้วยเสียงตวาดดังลั่น อาบังยัวะจนเลือดฝาดฉีดขึ้นหน้า ทำให้หน้าดำๆกลายเป็นสีช้ำเลือดช้ำหนอง

ได้ผล... เจ้าเด็กขี้แยนั่นตกใจจนหน้าซีด นั่งตัวแข็งทื่อ เอามือจับเก้้าอี้ไว้แน่น เสียงร้องไห้หายไปเป็นปลิดทิ้ง เหลือแต่เสียงสะอื้นฮักๆ เหมือนรถที่ยังเบรคไม่สนิท

"เออ... เมิงฟังตูก่อน" นายทหารผู้นั้นเริ่มสาธยาย "ตูก็ปวดกบาลจะบ้าอยู่นี่ ไม่ใช่ว่าตูซาบายใจ.." เด็กหนุ่มผู้นั้นนั่งเงียบกริบ ดวงตาบ้องแบ๊วจ้องอยู่ที่หน้าเจ้าแขกอย่างหวาดระแวง

"น้าก็กำลังทำเอกสารลับอยู่" น้ำเสียงเริ่มอ่อนลง "รับรองมันได้เจอแน่ งบลับก็กระจายไปเตรียมไว้หมดแล้ว สื่อเส่อก็ได้รับแจกกันถ้วนหน้า.. แล้วยังป้าสดสวยอีก เด็กในคาถาน้าเอง

มาร์คต้องใจเย็นๆ คอยดูฤทธิ์ป้าแกละกัน ขนาดน้าเป็นเจ้าของแท้ๆ แกยังฟัดไม่เลี้ยง"

"ว่าแต่แกเถอะ ทำอะไรให้เป็นชิ้นเป็นอันมั่ง วันๆเห็นแต่เก๊กหล่อ อ้อนแม่ยก อยู่นั่นแหละ... มาร์คต้องเข้าใจนะ ว่านี่มันไม่ใช่คณะลิเก นี่มันพรรคการเมือง มาร์คต้องอาสามารับใช้ประชาชน ประชาชนต้องมาก่อน..."

"อ้วกก..." เสียงเหมือนคนอ้วกแตกอยู่ข้างนอก ทำให้ทหารแขกหยุดกึก นั่งงงอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อพิจาณาแล้วเห็นว่าคงเป็นพวกเมาสุรา จึงละความสนใจ หันมาอบรมต่อ

"แล้วก็อย่าเอาแต่พูดโชว์โง่ไปเรื่อย สมองอ้ะ มีไม๊... คิดหน่อย ไม่ใช่เอะอะก็วาระประชาชน ข้ายิ่งโง่ๆอยู่ บอกตรงๆ ฟังเอ็งแล้วมึนว่ะ ไม่รู้ว่าเอ็็งมันบ้าหรือข้ามันโง่"

"แล้วถามจริงๆเหอะ ที่เอ็งพูดน่ะ เอ็งรู้เรื่องหรือเปล่า? อั้ยวาระประชาชน ประชาชนต้องมาก่อนของเอ็งน่ะ... เอ้า! หลับอีก" พอหยุดพูดเพื่อรอฟังคำตอบ แล้วเห็นเจ้าเด็กบ้านั่นนั่งสัปหงก น้ำลายไหลยืด แขกเลยควันออกหู ตบโต๊ะเปรี้ยง

"ปัง! นี่ตูถามเมิง!" เล่นเอาชายหนุ่มที่กำลังจะเข้าฌาน สะดุ้งจนตัวลอย ตาสว่างทันที

"ถะ... ถามว่า อะ.. อะไรครับอา"

"เอ้า เวร... นิเมิงไม่ได้ฟังตูพูดเลยเหรอวะเนี่ย... ตูถามว่าเมิงรู้เรื่องไม๊ อั้ยวาระประชาชนบ้าบออะไรของเอ็งเนี่ย"

"ไม่รู้คร๊าบ"

"เอ๊า... ไม่รู้เรื่อง แล้วจาพูดทามมายยย..." นายทหารแขกเกาหัวแกรกๆ เสียงเหมือนสุนัขเกาขี้เรื้อน

"เค้าบอกให้พูดครับ อา"

"เออ... เอาเข้าไป เจริญละเมิง เค้าบอกให้ทำอะไรก็ทำ นี่ถ้าเค้าบอกให้เิมิงไปตาย เมิงจาไปไม๊วะเนี่ย... ตาย.. ตาย.. แล้วมันจาเข็นขึ้นไม๊วะเนี่ย..." เจ้าแขกทิ้งตัวหงายหลังพิงเก้าอี้ ทำท่าเซ็งเป็ด... แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งโหยง

"โครม!" เสียงถีบประตูดังสนั่นหวั่นไหว เรือนไม้เก่าๆสั่นสะท้านไปทั้งหลัง ยังกับจรวดอาร์พีจีตกใส่ ร่างอ้วนดำเผ่นแผล็ว กระโจนพรวดขึ้นจากเก้าอี้ ไปยืนได้อย่างน่้าอัศจรรย์ พริบตาเดียวก็ใส่ทีนหมาเตรียมพร้อม ในท่าโกยเถอะโยม เป้าหมายคือหน้าต่าง

"ก๊ากกก... กั่กๆๆๆ..." เสียงหัวเราะดังลั่นมาจากนายทหารหนุ่มท่าทางกระตุ้งกระติ้ง ซึ่งยืนถือโทรศัพท์มือถืออยู่หน้าปากประตู เขาเอามือกุมท้อง หัวเราะจนตัวงอเป็นกุ้ง

"อั้ยอู เมิงเอาอีกแล้วนะ" นายทหารแขกด่าลั่นขณะเดินกลับมานั่งที่โต๊ะ "ตูบอกกี่ครั้งแล้วว่าให้เคาะประตูก่อนเข้ามา... บ้าเอ้ย คนยิ่งเสียวถูกเช็คบิลอยู่ด้วย... แล้วมีเรื่องอะไร!"

"มีฮาโหลมาถึงท่านครับ" ผู้พันไก่อู นายทหารคนสนิทพูดทั้งที่ยังหัวเราะอยู่ "เค้าบอกว่าจะสอบภรรยาคนที่สามของท่านครับ"

"เออ... บอกให้มันสอบไปเลย แล้วช่วยรวบอีกสองตัวเอ๊ยคนไปสอบซะให้ครบสามคนด้วย" เขาพูดอย่างฉุนเฉียว

"ครับท่าน" นายพันไก่อูรับคำ แล้วเตรียมหันหลังกลับ แต่ต้องชะงัก

"เดี๋ยว!" นายทหารแขกเรียกไว้ ใบหน้าดุดันเปลี่ยนเป็นยิ้มน้อยๆ แววเจ้าเล่ห์ปรากฎขึ้นในลูกกะตา "เมิงบอกเค้าด้วยนะ ให้รีบๆสอบ แล้วยึดเข้าหลวงให้หมดเลยทั้งสามคน บอกว่าตูสัญญาว่าจะไม่อุทธรณ์เป็นอันขาด คริ คริ..."

"ครับท่าน คริ คริ" นายพันไก่อูรับคำอีกครั้ง แล้วเตรียมหันหลังกลับ แต่ก็ต้องชะงักอีก

"เดี๋ยว! อั้ยมาร์คมันหายไปไหน" ผู้เป็นนายถาม หลังจากหันไปมองรอบห้องแล้ว ไม่เห็นแม้แต่เงาของเจ้าเด็กขี้แยคนนั้น

"นั่นไง! อยู่นั่นไง... ก๊ากกก..." เจ้าไก่อูพูดพร้อมกับชี้ไปที่ใต้โต๊ะ แล้วหัวเราะลั่น พอแขกก้มลงไปมองตามมือ ก็ถึงกับกลั้นหัวเราะไม่อยู่ ปล่อยก๊ากออกมาลั่นห้อง "ก๊ากกก... กั่กๆๆๆ..."

ร่างกระทัดรัดของเด็กน้อย ขดงอเป็นแมวนอนหวดอยู่ใต้โต๊ะ ตัวสั่นเทาเหมือนลูกหมาตกน้ำ กลอกตาล่อกแล่กไปมาอย่างหวาดระแวง

"ออกมาได้แล้ว กั่กๆๆๆ" นายทหารแขกหัวเราะไป พร้อมกับเอาเท้าเขี่ยเด็กหนุ่มคนนั้นให้ออกมาจากใต้โต๊ะ

"ไป ไปทำงานได้แล้ว โอยขำ..." เขาตบไหล่เด็กหนุ่มนั่นจนเอียง ทั้งที่ยังหัวเราะไม่อยู่ พอเด็กนั้นหันหลังจะเดินออกไป ยังเหวี่ยงมะเหงกเหนี่ยวกะโหลกไปอีก 1 ที

"แอ๊... มาตบหัวมาร์คทำไม! เดี๋ยวฉี่รดที่นอน" เจ้าเด็กนั่นร้องไม่เป็นภาษามนุษย์ พร้อมกับออกอาการฮึดฮัด ยกมือคลำหัวป้อยๆ

"ไม่มีอาราย... น้าช่วยเจิมห้าย" เขาตอบทั้งหัวเราะ แล้วตบไหล่เด็กโง่ไปอีกป้าบใหญ่

คราวนี้เจ้าเด็กน้อยรีบจ้ำอ้าวออกจากห้องไปทันที ก่อนที่จะโดนตบฟรีมากไปกว่านี้

@@@@@

หลังจากนั้น สนามเลือกตั้งก็เดือดพล่าน กุ๊กใหญ่ที่แปลงร่างมาเป็นหัวหน้าพรรค อาศัยลูกเก๋าบวกแรงหนุนจากแฟนคลับสิบกว่าล้าน ไล่ถลุงจนเจ้าบังเสียผู้เสียคน ส่วนเจ้ามาร์คนั้นไม่ต้องพูดถึง เจอยำใหญ่ไปจนกลับบ้านไม่ถูก กว่าจะกระเซอะกระเซิงกลับพรรคได้ก็แทบรากเลือด

ในห้องใหญ่ บนชั้นสองของที่ทำการพรรคเก๋ากึ้ก ลูกพรรคต่างนั่งเซ็งเป็ดตัวใครตัวมัน กระจัดกระจายกันอยู่ตามโต๊ะทำงานที่วางเรียงรายอยู่เต็มห้อง

ชายชราผู้หนึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะกลางตัวใหญ่ที่วางอยู่มุมห้อง ความที่เป็นคนร่างเล็ก ทำให้เห็นแค่หัวโผล่ขึ้นมาพ้นขอบโต๊ะ เอกลักษณ์ที่เห็นเด่นชัด คือผมเรียบแปร้ ทรงกระจังหมาแหงน

บุรุษหนุ่มร่างกระทัดรัดอีกผู้หนึ่งนั่งฟูมฟายอยู่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะ

"เราแพ้ย่อยยับแล้ว อา... ทำไงดี แง..."

ชายชรากลับนั่งสเก็ตช์ภาพไปด้วย ฟังไปด้วยอย่างสงบ หลังจากปล่อยให้เจ้าหนุ่มนั่น ฟูมฟายจนเหนื่อยแล้ว จึงเอ่ยขึ้นด้วยโทนเสียงทุ้ม นุ่มลึก ตามแบบฉบับพระเอกหนังสมัยโบราณ

"เอ่อ... อายังไม่ได้รับรายงาน"

"รายงานแล้ว !!!" เสียงประท้วงดังลั่น มาจากทุกทิศทุกทาง จนลั่นห้อง แถมด้วยเสียงสบถส่งท้าย "นิ.สัย."

"เอ่อ... ลืมไป โฮ่ะๆ.. อาได้รับรายงานแล้ว เลยเตรียมนี่ไว้ให้มาร์ค โฮ่ะๆ" พูดจบ ก้มลงไปใต้โต๊ะ ขลุกขลิกๆ อยู่ครู่หนึ่ง จึงยกกล่องใบใหญ่ขึ้นมาวางบนโต๊ะจนสำเร็จ

ชายหนุ่มเปิดออกดูทันที แล้วทำหน้างงๆ เมื่อเห็นว่าเป็นชุดเสื้อผ้าสีขาวสำหรับกุ๊ก พร้อมตะหลิวหนึ่งอัน

"ไรอ้ะ.. อา"

"ฟังอานะมาร์ค เพื่ออนาคตของมาร์คเอง มาร์คต้องไปเริ่มต้นใหม่ ไปฝากตัวเป็นลูกศิษย์ชิมไปบ่นไปกับคุณสมัครเค้า วันหน้ามาร์คจะได้เป็นใหญ่เป็นโต... มาร์ค อย่าได้มาดักดานกะอาเลย

ที่อาสอนมาร์คได้ก็มีแต่วิชาแกว่งปากหาเสี้ยน ด่าคนนิ่มๆ แนะแหนไปเรื่อยเปื่อย แต่มันหากินไม่ได้แล้วหละ คนเค้ารู้ทันกันหมดแล้ว อีกอย่าง อาเองจะตายหองตายห่าวันไหนก็ยังไม่รู้..."

ฟังชายชราพูดได้แค่ยั้ย เด็กหนุ่มก็เบะปาก แล้วปล่อยโฮออกมาลั่นห้อง ด้วยความทราบซึ้งในน้ำใจของผู้เฒ่า

"แง.. มาร์คจะทำตามที่อาบอก มาร์คจาไปเป็นกุ๊ก แง..." พูดแล้วก็ลุกขึ้นเก็บกล่องเอามาอุ้มเตรียมจะจากไป แต่ยังไม่วายเป็นห่วงพรรค

"แต่... มาร์ค ยังห่วงพรรคน่ะอา แล้วใครจะมาเป็นหัวหน้าต่อจากมาร์คล่ะอา..."

"เอ่อ... อายังไม่ได้รับรายงาน"

"เวร!" เด็กน้อยสบถมาคำหนึ่ง แล้วผลุนผลันจากไป โดยไม่เหลียวกลับมาอีกเลย...

@@@@@

วโรทาห์: 16 ธ.ค. 2550

แซวการเมือง ช่วงโค้งสุดท้าย... อย่างฮา...

การเมืองบ้านเราช่วงนี้ ไม่รู้มันเป็นบ้าอะไร หันไปทางไหนมันก็ให้ผิดเพี้ยน ขัดใจไปซะหมดทุกเรื่อง...

ดูอย่างเจ้าหมูตุ๋นนั่นปะไร ใคร้จะไปนึกว่าชั่วเวลาแค่สองสามเดือน จากนักการเมืองรุ่นใหม่ไฟแรง ความหวังของประเทศชาติ จะเปื่อยได้ที่กลายเป็นหมูตุ๋นพร้อมเสิร์ฟไปได้ถึงเพียงนี้

ย้อนไปตอนที่มันโดนซิวเข้าคุกโดยไม่รอลงอาญา เห็นลูกน้อง 3 คนของมัน ลงทุนกราบทีนออกทีวี อ้อนวอนให้เป็นหัวหน้าต่อ ยังนึกอยู่ว่า แหม่... บารมีของเจ้าแป๊ะนี่มันก็่ใช่ย่อย

ที่ไหนได้วงในเค้าเม้าท์กันว่า พอจบข่าวปุ๊บมันก็กราบไอ้ 3 ตัวนั่นคืนปั๊บเหมือนกัน แถมเทศนาให้อีก 1 กัณฑ์ฟรีๆว่า...

ให้ตูกราบทีนพวกเมิงดีก่า แล้วรีบๆไสหัวไปให้ไกลทีนตูเลย ตูยังชิกหัยไม่พอใช่ไม๊ ต้องให้ตูชิกหัยอีกเท่าไหร่พวกเมิงถึงจะพอใจ.. ให้ตูติดคุกสบา่ยๆหน่อย พวกเมิงจะตายกันเรอะไง...

อย่า... ตูถือศีลห้า อทีนนาทานา เวรมณี ห้ามเอาทีนไปตึ้บใครโดยไม่จำเป็น พวกเมิงอย่ามายั่วให้ศีลตูขาด... ข่าวว่าหลังฟังเทศน์จบ ก็ตัวใครตัวมัน ไม่ต้องรอติดกัณฑ์เทศน์

หันมาทางเจ้าเตี้ยบ้าง ตั้งแต่ไปตกท่อมานี่ มันก็ประสาทกลับป้ำๆเป๋อๆไม่เป็นผู้ไม่เป็นคน ให้สัมภาษณ์อะไรก็มั่วซั่วไปหมด จนชาวบ้านสับสน ไม่รู้มันจะเอายังไง

ข่าวเค้าว่า ที่เป็นเช่นนี้้ ไม่ใช่เพราะสมองได้รับความกระทบกระเทือนตอนตกท่อหรอกนะ แต่มันมากระเทือนเอาทีหลัง ตอนขึ้นศาลป้าแจ่มที่บ้านนี่แหละ

คืนนั้นพอแกมุดหัวเข้าบ้านปุ๊บ ป้าแจ่มก็เปิดศาลชำระคดีปั๊บเหมือนกัน ทันอกทันใจวัยโจ๋ไม่หยอก ข้อหาก็คือ มันไปสร้างสถานการณ์ กะมัดใจหญิง ว่างั้น

อะไรไม่ว่า ทันทีที่เริ่มกระบวนการไต่สวน ศาลก็เบิ๊ดกะโหลกมัดจำเอาไว้ก่อนหนึ่งที แรงส่งป้าแกยังใช้ได้ เล่นเอาเจ้าเตี้ยหัวทิ่ม เสียศูนย์ก่งก๊งมาตั้งแต่วันนั้น

ไต่สวนฝ่ายเดียวเสร็จ ศาลก็ตัดสินเดี๋ยวนั้น ลงโทษเดี๋ยวนั้นเหมือนกัน ไม่ให้เถียง ไม่ให้ชี้แจง กำหนดโทษเปรี้ยง ห้ามออกจากบ้าน 3 เดือน แถมไม่รอลงอาญาอีกต่างหาก แม๊... ทันสมัยจริงๆ

ระหว่างนี้ยังอยู่ในชั้นอุทธรณ์ แต่ข่าวเค้าว่าท่าจะรอดยาก เพราะหลักฐานมันทนโท่ซะขนาดนั้น ถ้าแกไม่ไปเช็ดแก้มให้น้องเค้า ยังพอมีหนทางต่อสู้ กล้อมแกล้มอ้างไปได้ว่า อยู่ในขั้นเตรียมการ ยังไม่ได้ลงมือปฏิบัติ แต่นี่ภาพมันฟ้องกันเห็นๆ เล่นกันจะๆ เลยจบข่าว

ทีแรกป๋าเติ้งแกก็ร่ำๆจะรับสารภาพอยู่เหมือนกัน เผื่ออ้างเป็นเหตุบรรเทาโทษได้มั่ง นิดๆหน่อยๆก็ยังดี เดชะบุญว่าได้ทนายดี เป็นเพื่อนซี้กันสมัยเรียนตงฮั้วฮะเก๋า มาเหยียบเบรคห้ามไว้ทัน บอกว่า...

แกจะบ้าเรอะ ศาลภรรยานี่ใครเค้าสารภาพกัน การสารภาพนี่ไม่ใช่เหตุบรรเทาโทษนะโว้ย ตรงกันข้ามมันเป็นเหตุเพิ่มโทษต่างหาก พอแกสารภาพปั๊บ รับรองว่าศาลร้องจ๊ากก... นั่นไง... ตูว่าแล้ว ซื้อหวยไม่ยักกะถูก ฉอดๆๆๆ...

ว่าแล้วก็รำมวยใส่ทันที ไม่ต้องสอบกันแล้ว... ตำราเค้าถึงสอนนักสอนหนาว่า ต่อหน้าศาลภรรยานี่ ยังไงก็ต้องปากแข็งไว้ก่อน...

เรียกว่า... ถึงรู้ก็อย่าให้เห็น ถึงเห็นก็อย่าไปรับ หากจะรับก็ให้รับครึ่งเดียว ยังไงก็ต้องเหลือความหวังไว้ให้ศาลมั่ง เพราะที่เค้าคาดคั้นนั่นก็หวังว่ามันจะไม่ใช่เรื่องจริง

หันมาทางเจ้ามะม่วงจำบ่มบ้าง เจ้านี่ก็แปลกคนจริงๆ ไม่รู้มันจะเดือดร้อนอะไรกันนักกันหนา กับการที่ออหมักไม่ยอมไปร่วมดีเบทก๊ะมัน... มันก็พูดไปฝ่ายเดียวซะซี่ ดีซะอีก จะได้ตีกินตุนคะแนนใส่กระเป๋ากันเนื้อๆไปเลย

นี่เห็นวันๆส่งทหารเลวไปท้ารบเหย็งๆ เสียเวลาเปล่าๆ แทนที่จะไปทำมาหากินอย่างอื่น อย่างนี้นี่เล่า คะแนนเสียงมันถึงได้สาละวันเตี้ยลงๆ จนยั้งไม่หยุดฉุดไม่อยู่ ดิ่งเหวไปเรื่อยๆ จนจะพากันตายยกรังเอา

พอถูกนำห่างก็เลยเล่นง่าย กะคลุกวงใน ปล้ำตีเข่าอย่างเดียว โท๊... ก็คะแนนเค้านำอยู่ ใคร้จะไปแลกให้เสียของ เค้าก็ต้องฟุตเวิร์คเอาสวยงามเข้าว่า เป็นแกก็เหอะ ถ้าคะแนนนำเค้าขนาดนี้ จะมาท้าเหย็งๆอยู่ไม๊...

ส่วนลูกพี่ใหญ่ เจ้ามือมีดโกนนั่นก็อีกคน อุตส่าห์ไปเข็นรถจี๊ปสมัยสงครามโลกออกมา กะโชว์พาว ไม่ได้รู้เรื่องเล้ย ว่าโลกเค้าไปกันถึงไหนแล้ว สงสัยมันคงจะจำเอามาจากอาจสามารถ สมัยเจ้าทักเค้า เลยกะจะเรียลลิตี้โชว์ลงใต้ ว่างั้นเหอะ

อาศัยว่าพวกสื่อมันก็ให้ท่าอยู่แล้ว เตรียมทำข่าวให้เต็มที่ เอากันตั้งแต่ออกจากกรุงเทพฯไปยันตรังเลยแหละ กะออกข่าวทุกวันเหมือนพวกวิ่งแก้บนยังไงยังงั้น... โถ... ถ้าเป็นเมื่อหลายสิบปีก่อนล่ะไม่เถียง คนไทยยังโง่อยู่ ยังพอกล้อมแกล้มหลอกกันไปได้

แต่เที่ยวนี้ผิดคาด แทนที่จะเห็นชาวบ้าน พากันมารอรับตามรายทาง ทั้งๆที่สื่อช่วยกันประโคมข่าวนำไปก่อนตั้งหลายวัน ที่ไหนได้... เงียบเป็นเป่าสาก ไปที่ไหน มีแต่หมาวิ่งไล่เห่ากันเกรียว ขืนออกข่าวไปได้อายตายห่า

ซ้ำร้าย ฝ่ายตรงข้ามอย่างออหมักนี่ ก็ดันแฟนคลับตรึมซะอีก ยิ่งได้ออเหลิมมาเสริมทัพอีกคนนี่ เปิดวิกที่ไหนก็วิกแตก พอๆกะคอนเสิร์ตสายัณ สัญญา ยังไงยังงั้น ก็ไม่รู้แกไปเอาเงินถุงเงินถังมาจากไหน ไปจ้างคนมาฟังซะเพียบ

ข่าวตาชวนเลยหายจ้อย ไม่รู้เป็นตายร้ายดียังไง รถแกแล่นไปถึงไหนแล้วก็ไม่รู้ มาได้ข่าวอีกที ก็ตอนแกเปิดเวทีปราศัยย่อยที่พัทลุง ข่าวลงว่าชาวบ้านมารอฟังกันตรึม 700 คน

ก็นับว่าไม่เลวอ่ะนะ ถ้าเทียบกับที่เจ้ามาร์คไปเปิดปราศัยใหญ่ ที่วงเวียนใหญ่ คนก็แน่นพอกันนี่แหละ 700 คน ตัวเลขตรงกันเด๊ะ โดยไม่ได้นัดหมาย

แต่ไหงพอถึงเวลา ตาชวนดันหายจ้อยอ้างว่าไม่ฉะบาย ขับรถฝ่าแดดมาจนไข้ขึ้นว่างั้น ทั้งๆที่ปกติแล้ว เห็นแกตัวเล็กๆยังกะลูกหมายังงั้นเหอะ แข็งแรงยิ่งกว่าแรด แต่มาคราวนี้ ไหงกระหม่อมบางขึ้นมาดื้อๆ

ไอ้ไข่คนใกล้ตัวแท้ๆ มันยังบอกว่า ตอนเย็นก็ยังเห็นดีๆอยู่ ยังคุยกันจ๋อยๆ แต่พอตกค่ำ ทางเวทีแจ้งมาว่าชาวบ้านเค้าหลงทาง เลยเหลือมาฟังปราศัยไม่ถึง 300 คน เท่านั้นแหละ ได้เรื่อง จับไข่สั่นใหญ่เลย ไข้ขึ้นสูงปรี๊ด ไปปราศัยไม่ได้ซะดื้อๆ

โถ... กะอีแค่เป็นไข้แค่นี้มันจะไปอะไรกันนักกันหนา ไม่ใช่ว่าป่วยหนักถึงขนาดเข้าห้องซีไอเอซะเมื่อไหร่ ขอย้ำห้องซีไอเอจริงๆ ไม่ได้พิมพ์ผิดนา แค่ขอยืมศัพท์เท็คนิคของป๋าเติ้งเค้ามาใช้หน่อย เห็นว่ามันเท่ห์ดีน่ะ ไม่ใช่อะไร

กะอีแค่ป่วยนิดป่วยหน่อยทำเป็นมาสำออย คนเรา.. ถ้าใจมันรักจริงอ้ะนะ มันจะไปยากอาไร้ ก็ตั้งระบบวิดีโอคอนเฟอเร้นซ์เข้าซี่ ยิงภาพพร้อมเสียงขึ้นดาวเทียมโลด แล้วเด้งสัญญาณลงมากลางเวทีปราศัย โช๊ะ!

ทางนั้นก็ตั้งทีวีจอยักษ์รับสัญญาณถ่ายทอดสด ปั๊บ! ส่งตรงถึงพ่อแม่พี่น้อง... ขี้คร้านจะฮือฮายิ่งกว่าเจ้าทักเค้าซะอีก... ฮาาาา....

วโรทาห์: 15 ธ.ค. 2550

Friday, December 14, 2007

มาแล้ว... ประชันวิสัยทัศน์ประธานที่ปรึกษา ปชป. vs พปช.


ณ.ดินแดนอันไกลโพ้น รถสปอร์ตสีดำทะมึนรุ่นล่าสุด พุ่งทะยานฝ่าลมหนาวไปบนไฮเวย์อย่างนิ่มนวล ราวกับแล่นอยู่บนปุยเมฆ เพียงชั่วพริบตาก็ถึงที่หมาย ยานแห่งอนาคตแล่นเข้าไปจอดสงบนิ่ง ที่หน้าร้านอาหารหรูหราในย่านไชน่าทาวน์

บุรุษหนึ่งก้าวออกมาจากที่นั่งคนขับอย่างสง่าผ่าเผย เขาอยู่ในชุดโอเวอร์โค้ทหนังสีเทาหม่น สวมแว่นตาดำ ก้าวย่างเนิบนาบราวกับออกมาจากแมททริกซ์ ใบหน้ารูปทรงสี่เหลี่ยมนิดๆ บ่งบอกถึงความเชื่อมั่นในตนเองอย่างสูง

คนสารขัณฑ์ในต่างแดนร่วมกับคนต่างชาติที่ยืนรออยู่ ก็กรูกันมาเข้าต้อนรับ พาเข้าไปในร้านอาหารที่พวกเขาสั่งจองไว้ก่้อน เมื่อรู้ข่าวทางอินเตอร์เน็ต ว่าบุรุษผู้นี้จะเดินทางผ่านมา

บุรุษมาดเข้มนั่งลงที่หัวโต๊ะ แล้วหยิบโมบายล์โฟนออกมา เช็คอีเมล์อยู่ครู่หนึ่งจึงเก็บกลับเข้าที่เดิม แล้วเริ่มการแสดงวิสัยทัศน์ ระหว่างรออาหาร... จนกระทั่งถึงช่วงคำถาม

"ท่านครับ ที่บ้านเกิดผมตอนนี้ มังคุดเหลือโลละบาทแล้วครับ เก็บมาก็ไม่คุ้ม ต้องปล่อยให้มันร่วงทิ้ง เสียหายหมด" ชายวัยกลางคนเอ่ย

"ฮ้า... ขนาดนั้นเลยเหรอ" บุรุษผู้นั้นอุทาน แล้วรีบล้วงเอาวิดิโอโฟนออกมาจากอกเสื้อ จัดการเปิดระะบบวิดีโอคอนเฟอเร้นซ์ทันที

"คุณมิ่งขวัญ" เขาเรียกชื่อผู้ที่ปรากฎในจอตรงหน้า "เรื่องมังคุดนะ ผมไปสำรวจตลาดที่ญี่ปุ่นมา ลูกละ 70 บาท.. ลูกละนะ ไม่ใช่โลละ.." เขาเน้นเสียงหนักแน่นตอนท้าย

"คุณรีบติดต่อไปเปิดตลาดเลยนะ ไว้ผมจะส่งอีเมล์แอดเดรสลูกค้าไปให้"

หลังจากนั้นบุรุษทั้งสอง ก็คุยกันเรื่องนโยบายเศรษฐกิจของสารขัณฑต่อไป จนกระทั่งอาหารมาเสิร์ฟ บุรุษนั้นจึงปิดการประชุม แล้วหันมาล้างมือในอ่างน้ำที่เตรียมไว้บนโต๊ะ

จากนั้น จึงหันมาจกข้าวเหนียวจากกระติ๊บที่วางตรงหน้า ป้อนเข้าปากอย่างไม่เคอะเขิน แล้วตามด้วยส้มตำปูปลาร้ารสแซ่บของโปรด พลันน้ำตาก็ไหลพราก อย่างกับเผาเต่า

"เอ้อ... ท่านคะ เผ็ดไปหรือเปล่าคะ" สุภาพสตรีที่นั่งอยู่ใกล้ๆ รีบถามด้วยความเป็นห่วง

"เปล่าๆ ผมคิดถึงบ้าน" เสียงตอบนั้นสั่นเครือและขาดเป็นห้วงๆ พร้อมกับป้ายน้ำตาลูกผู้ชาย ที่ไหลเคลียแก้ม ทำให้โต๊ะอาหารนั้นเงียบกริบ ทุกคนทำท่าเหมือนจะร้องไห้ตาม ครู่หนึ่ง สุภาพสตรีอีกคน จึงเอ่ยปากทำลายความเงียบ ด้วยเสียงแผ่วเบา

"เอ้อ... ประชาชนก็คิดถึงท่านค่ะ วันที่ 23 ธันวานี้แล้ว ที่พวกเขา็จะพร้อมใจกันออกไปลงประชามติ เพื่อให้คุณสมัครมารับท่านกลับบ้านค่ะ"

พอพูดจบทุกคนก็ต้องสะดุ้ง เมื่อบุรุษผู้นั้นลุกพรวดพราดจากโต๊ะไปอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

เขาเดินจ้ำหายเข้าไปในห้องน้ำ เหลียวมองไปรอบๆ เมื่อแน่ใจว่าปลอดคนแล้ว จึงปล่อยโฮออกมาอย่างไม่อาย เพื่อระบายความอัดอั้นในใจออกมา จนกระทั่งรู้สึกดีขึ้นแล้ว จึงล้างหน้าล้างตาแล้วออกมากินอาหารต่อ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

หลังจากอิ่มหนำสำราญกันแล้ว เขาก็เรียกเช็คบิล บุรุษท่าทางภูมิฐานรีบลุกขึ้นควักกระเป๋าสตางค์ออกมา แต่ถูกเขาห้ามไว้

"ไม่ต้องๆ ขอร้อง มื้อนี้ให้ผมเลี้ยงเอง มื้อหน้าค่อยว่ากันใหม่" กล่าวจบควักกระเป๋าสตางค์ออกมา หยิบแพล๊ตตินั่มการ์ดวางลงในถาด พร้อมค่าทิป 100 ยูโร

เขากลับเข้าไปนั่งในรถอีกครั้ง บิดกุญแจสตาร์ทอย่างแผ่วเบา เสียงเครื่องยนต์เงียบจนไม่รู้ว่ากำลังทำงานอยู่ ต้องเหลือบมองเกย์วัดรอบบนหน้าปัทม์เพื่อให้แน่ใจ ก่อนที่จะเข้าเกียร์ ขับทะยานออกไปด้วยพลังเทอร์โบ 8 สูบ 32 วาล์ว หายลับไปในพริบตา ทิ้งกลุ่มคนที่มาส่งไว้เบื้องหลัง

"พวกเรา.. ต้องเลือกเบอร์ 12.. ให้ท่านมาช่วยพวกเรา" เสียงหนึ่งดังขึ้นในกลุ่ม แล้วคนอื่นๆก็ส่งเสียงขานรับกันเซ็งแซ่

"ใช่.. ใช่.. กาโหล ๆ ๆ ๆ ๆ"

********

ณ.ดินแดนทางใต้ของสารขัณฑ์ประเทศ รถจี๊ปบุโรทั่งสีเขียวขี้ม้าสมัยสงครามโลก คลานต้วมเตี้ยมๆอย่างเกียจคร้าน ไปตามถนนลูกรังที่ไม่ได้มาตรฐาน เต็มไปด้วยหลุมบ่อราวกับโลกพระจันทร์

เสียงเครื่องยนต์ครางกระหึ่มราวกับจะขาดใจ แต่ยังถูกกลบลงได้ด้วยเสียงตัวถังที่ลั่นโครมคราม จนน่ากลัวว่าจะพังเป็นชิ้นๆ คนขับรูปร่างเล็กกระทัดรัด นั่งตัวโยนไปมาตามแรงเหวี่ยงของรถ บ้างครั้งก็กระดอนขึ้นจากเก้าอี้ เอาหัวโหม่งหลังคา เมื่อรถวิ่งตกหลุมปลักควาย

ชาวบ้านตัวดำๆ ในชุดเครื่องแบบกรีดยาง เหมือนออกมาจากสวนใหม่ๆ รวมตัวกันอยู่หน้าร้านข้าวแกง เพื่อรอรับนายหัว ที่พวกเขารู้ข่าวจากนกพิราบสื่อสาร ว่าจะผ่านมาทางนี้

เสียงลั่นโครมครามดังมาแต่ไกลแสดงว่าใกล้จะมาถึงแล้ว แต่พวกเขายังต้องยืนรออีกครึ่งชั่วโมง กว่าที่รถบุโรทั่งจะออกแรงฮึดเฮือกสุดท้าย คลานเข้ามาถึงจนได้ แต่พอจะให้หยุดมันดันไม่หยุด

มิใยที่คนขับจะเหยียบเบรคจนมิด เจ้ารถบุโรทั่งยังรี่เข้าหากลุ่มชาวบ้าน จนแตกหนีกระเจิงกันไปคนละทิศละทาง สุดท้ายจึงไปสิ้นฤทธิ์ลงหลังจากเลยหน้าร้านไปไกลแล้ว บุรุษผู้นั้นเป่าปากอย่างโล่งอก แล้วบิดกุญแจดับเครื่อง แต่เครื่องยนต์เจ้ากรรมก็ยังเดินต่อไปอีกครู่หนึ่ง เหมือนยังไม่หายหอบ

บุรุษร่างเล็กกระโดดเหย็งลงจากรถ ยืนปัดฝุ่นจนฟุ้งกระจาย ชาวบ้านที่กรูตามกันมาต้อนรับถึงกับหยุดชะงัก รอจนฝุ่นจาง จึงเห็นบุรุษผู้นั้นยืนยิ้มเผล่ ด้วยเอกลักษณ์ที่ชินตา คือหน้าแหลมๆ และผมที่ตั้งเป็นกระจัง ยื่นออกมาข้างหน้า เหมือนเพิงหมาแหงน

ชาวบ้านต่างพากันปิดทองที่ตัวรถแล้วยกมือไหว้ โดยมีบุรุษผู้นั้นยืนมองอย่างภาคภูมิใจ

"ปิดทองรถประวัติศาสตร์เหรอลุง..." เขาถามลุงคนที่เพิ่งปิดทองเสร็จ

"เปล๊า... เห็นเค้าว่าเป็นรถผีสิง" คำตอบซื่อๆ เล่นเอาผู้ถามหุบยิ้มทันที

ปิดทองเสร็จ กลุ่มชาวบ้านก็เฮละโลพาบุรุษผู้นั้น เข้าไปในร้านข้าวแกง แล้วจับจองเก้าอี้นั่งกันจนเต็มร้าน กะมั่วกินฟรี

บุรุษมาดนุ่มนิ่มนั่งลงที่หัวโต๊ะ แล้วหยิบกระดาษพร้อมดินสอออกมา นั่งสเก็ตช์รูปอย่างเพลิดเพลิน ท่ามกลางสายตาชาวบ้านที่จ้องมองด้วยความทึ่ง

"หน่ายฮั่้ั้ัวขรับ" ชายวัยกลางคนเอ่ยขึ้นอย่างเหลืออด "บ้านเราตอนนี้ มังคุดเหลือโลละบาทแหล่วนาขรับ เก็บมาก็ไม่คุ้ม ต้องปล่อยให้มันร่วงทิ้ง เสียหายหมด"

"เอ้อ... พ้มยังไม่ได้รับรายงานเลยครับ" บุรุษผู้นั้นพูดขึ้นมาด้วยความเคยปาก ทั้งที่ตายังไม่ละจากกระดาษ

"ก็พ้มรายงานอยู่่นี่ไง!" ชายคนเดิมขึ้นเสียงดังลั่นร้าน เล่นเอาบุรุษผู้นั้นตกใจแทบร่วงจากเก้าอี้ รีบเก็บกระดาษดินสอ แล้วขยับนั่งตัวตรง ก่อนที่จะแอบค้อนชายผู้นั้นหนึ่งวง แล้วสบัดหน้ามองออกไปที่ถนน นั่งปั้นปึ่งอย่างใช้ความคิด

ครู่ใหญ่ๆ บุรุษผู้นั้นจึงยิ้มออกมาได้ ทำให้ชาวบ้านต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก... บุรุษนั้นมองกวาดไปรอบโต๊ะ แล้วไปหยุดที่ตาลุง คนกรีดยางโกโรโกโสที่นั่งอยู่ไม่ไกล

"เอ้อ ขอยืมโทรศัพท์หน่อยครับ ลุง" เขาพูดพร้อมกับยื่นมือไปหาชายผู้นั้น ที่ดันซวยมานั่งอยู่ใกล้ๆ แถมเจ้ากรรมดันเอาโทรศัพท์ขึ้นมาวางโชว์บนโต๊ะซะอีก

ตาลุงจำใจยื่นโทรศัพท์ให้แล้วค้อนขวับ บุรุษผู้นั้นรับมาแล้วควักสมุดโน๊ตเก่าคร่ำคร่ามาเปิดหาเบอร์โทรฯ ชาวบ้านเห็นแล้วก็ได้แต่นั่งอึดอัดหาวเรอไปตามๆกัน

ทุลักลุเลอยู่ครู่ใหญ่ๆ จึงต่อโทรศัพท์ออกไปได้ บุรุษผู้นั้นเริ่มกรอกคำพูดเข้าไปอย่างช้าๆ เนิบๆ เพื่อให้ดูน่าเชื่อถือ

"เอ่อ... เอ่อ... เรื่องมังคุดอ้ะนะมาร์ค เมื่อวันอาทิตย์.. พ้มไปหาเสียงที่จตุจักร เค้าขายกันตั้ง 3 โลสิบแน่ะ ได้ราคาจริงๆ.. พ้มยังซื้อมากินเล่นตั้ง 3 ขีดแน่ะ ตอนแรกแม่ค้าจะเอาหกหลึง พ้มต่อเหลือบาทเดียว เค้ากลัวเสียราคาเลยมียื้อ แต่สุดท้ายก็ให้ โฮ่ะๆๆ"

เขาหยุดหัวเราะอย่างผู้ชนะ แล้วจึงพูดต่อ

"มาร์คไปติดต่อตลาดจตุจักรเลยนะ แล้วมาทุกมังคุดทางนี้ขึ้นไปขาย ช่วยชาวบ้านเค้าหน่อย นะมาร์คนะ"

พูดยังไม่ทันขาดคำ ก็มีเสียงลอยมาจากชาวบ้านที่ยืนมุงอยู่หน้าร้านข้าวแกง

"ค่าเก็บก็โลละ 2 บาทแล่ว ไหนจะค่ารถอีกสิบหลึง ไปขาย 3 โลสิบ จะขายทำก๋งแกเรอะ"

บุรุษนั้นได้ยินเต็มสองรูหู แต่ไม่กล้าหันไปทางต้นเสียง รีบเก็บโทรศัพท์คืนเจ้าของ แล้วลงมือเปิบข้าวอย่างรวดเร็ว ผิดกับบุคคลิกยามปกติ จนกระทั่งอิ่มแล้วก็รีบเรียกเช็คบิล

ขณะที่แม่ค้ายืนนับชามอยู่นั้น บุรุษท่าทางภูมิฐานก็ลุกขึ้นควักกระเป๋าสตางค์ออกมา

"ม่ายโ่ต้งๆ พ้มออกเอง" บุรุษมาดนิ่มยกมือห้ามแล้วลุกขึ้นยืนช้าๆ ควักกระเป๋าสตางค์ออกมาพร้อมกับหันไปถามแม่ค้า ด้วยน้ำเสียงนุ่มๆแบบพระเอกหนังยุค 70

"ของผมเท่าไหร่"

"ยี่สิบค่ะ" แม่ค้าตอบอย่างไม่มั่นใจ

บุรุษผู้นั้นควักแบงค์ยี่สิบวางลงบนโต๊ะ แล้วหันเดินออกจากร้านไปขึ้นรถทันที ทิ้งชาวบ้านให้นั่งงงเป็นไก่ตาแตกอยู่เบื้องหลัง

เขาโดดขึ้นไปบนที่นั่งคนขับอีกครั้ง เสียบกุญแจแล้วบิดสตาร์ททันที เสียงไดสตาร์ทครางโหยหวนดังลั่นทุ่ง พร้อมกับตัวรถที่สั่นสะท้านยังกับเจ้าเข้า ก่อนที่จะหมดแรงไป เขาเพียรสตาร์ทครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างใจเย็น จนกระทั่งเครื่องยนต์ติดขึ้นมาจนได้

เสียงเข้าเกียร์ดังครืดคราดอยู่หลายตลบ กว่ามันจะผลุบเข้าร่องเข้ารอย ตัวรถสะท้านขึ้นอีกครั้งขณะที่ลากสังขาร เคลื่อนตัวออกไปอย่างไม่เต็มใจ

ชาวบ้านที่ต่างควักเงินจ่ายค่าข้าวเรียบร้อย ออกมายืนลุ้นให้รถจี๊ปคันนั้นรีบๆพาเจ้าของไปให้พ้นหูพ้นตา แต่ทว่า.. หลังจากที่ยืนมองอยู่เกือบครึ่งชั่วโมง รถก็ยังไม่ไปถึงไหน พวกเขาจึงละความสนใจ แล้วหันกลับมาคุยกันเอง

"พวกเรา.. อย่าไปเลือกเบอร์ 4.. มันช่วยพวกเราไม่ได้หรอก .วายเอ้ย" เสียงหนึ่งดังขึ้นในกลุ่ม แล้วคนอื่นๆก็ส่งเสียงขานรับกันเซ็งแซ่

"ใช่.. ใช่.. กาโหล ๆ ๆ ๆ ๆ"

********

วโรทาห์: 13 ธ.ค. 2550

ลำนำ คิดถึงนายกฯ

มองเหม่อมองดูท้องทุ่งนา ฟังเสียงวิหคนกกา บินมาในยามค่ำแลง
เห็นท้องนาในยามหน้าแล้ง ผืนดินนั้นแตกระแหง หมดแรงจะทำต่อไป
คิดถึงคนที่เคยห่วงหา บัดนี้เขาจำจากลา น้ำตามันพาลจะไหล
เขารอนแรมไปอยู่แดนไกล เป็นตายร้ายดีอย่างไร คิดไปแล้วให้กังวล

คิดถึงวันที่เคยสุขสันต์ เราเคยล้อมวงคุยกัน แบ่งปันให้กำลังใจ
ถึงยากจนก็ทนสู้ไหว อดทนดั้นด้นกันไป ทุกข์กายก็ยังพอทน
นายกฯเราหนึ่งเดียวคนนี้ ท่านคอยดูแลช่วยชี้ เป็นศรีของคนยากจน
เหมือนท้องนาในยามหน้าฝน เทวานั้นมาช่วยดล ทุกข์ทนจึงค่อยบรรเทา

ครั้นอยู่มาไม่นานเท่าไร ข่าวในกรุงวุ่นวาย เขาไล่นายกฯคนจน
โถทำไมใจอกุศล นายกฯเขามาช่วยคน เขาไม่ให้มาช่วยเรา
ทุกข์ทางกายยังพอทนไหว แต่ความทุกข์ในทางใจ คงไม่มีใครแบ่งเบา
เราคนจนต้องทนนั่งเหงา โถใครจะมาช่วยเรา ใครเขาจะช่วยเยียวยา

โอ... ฟ้าดินจงเป็นพยาน เพราะคุณความดีของท่าน เรานั้นจึงได้เทใจ
ขอบนบานต่อองค์เทพไท้ ขอให้ปกป้องคุ้มภัย อย่าให้มีใครบีฑา
เราคงได้แต่คอยละหนอ สวดมนต์นับวันนั่งรอ รอวันที่เขากลับมา
วันนั้นเราได้ร่วมกันหนา บายศรีสู่ขวัญแก้วตา นายกฯทักษิณของเรา

วโรทาห์: ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๕๐

Thursday, December 13, 2007

เฮ... ปชป. ออกอาการแล้ว เย้ๆๆๆ...

ออกอาการครับ ภาษามวยเค้าเรียกว่าออกอาการ หลังจากถูกมวยเชิงสูงอย่างป๋าหมัก นอมินียิม ดักจังหวะสอง แทงเข่า สลับเตะตัดขาเจาะยาง จนก้นเตี้ยไปหลายครั้ง แต่มาร์ค ศิษย์ป้าชวน ยังอึด ทำเป็นเต้นหย็องแหย็งๆ ฝืนยิ้มเจื่อนๆพร้อมกับยักคิ้ว ส่งสัญญาณว่า สบมยห.

แต่ล่าสุด มาร์คเก็บอาการไม่อยู่แล้วครับท่านผู้ชม ทำหน้าเหยเกยืนพิงเชือกอยู่ที่มุม ก้าวขาไม่ออกแล้วครับ

เมื่อเห็นว่าไม่มีทางสู้มวยครบเครื่อง อย่างป๋าหมักได้แน่ ก็หันใช้มารยาร้องไห้โฮ ตะโกนฟ้องแม่ เอ๊ยกรรมการ ให้ยุบค่ายนอมินียิมซะแล้ว ฐานปล่อยให้ป๋าหมัก มาเที่ยวเกเร ใช้เท้าผลักหน้าคู่ต่อสู้บนเวทีอยู่ได้

แถมหัวหน้าค่ายนอมินียิมที่ลอนดอน ยังกระแอมซะดัง มาร์ค โตะใจโหมะเลย...

ฝ่ายกรรมการให้คะแนนข้างเวที อดีตมวยไทยหญิงยุคบุกเบิก ที่ผันตัวเองมาเป็นกรรมการ เห็ดสด ศิษย์คมช. ก็เด้งรับฉับไว โดดขึ้นเวทีได้ก็ชกซ้ายป่ายขวาอุตลุด ด้วยความลืมตัว คิดว่าตัวเองเป็นนักมวยซะเอง

พี่เลี้ยงป๋าหมัก ต้องรีบส่งสัญญาณให้ถอย คุมรูปมวยไว้รอระฆังหมดยกอย่างเดียว ไม่ต้องเข้าแลก เพราะคะแนนนำขาดอยู่แล้ว

เรียกว่ามวยรู้ทางกัน ป๋าหมักไม่ยอมหลงกลคู่ต่อสู้ง่ายๆ เพราะหากชกสวนไปโดนเป้า ที่คู่ต่อสู้ส่ายล่ออยู่ตลอดเวลา ก็เข้าทางกรรมการที่เตรียมจับแพ้ฟาวล์อยู่แล้ว

ป๋าหมักรู้แกวจึงเต้นฟุตเวิร์ค ตีกรรเชียงถอยหลังวนไปรอบๆเวที ไม่สุ่มสี่สุ่มห้า กะหาจังหวะสอยปลายคางให้ร่วงในหมัดเดียว เพื่อป้องกันการปล้นชัยชนะ

จากเวทีมวย เราตัดกลับมาที่พรรคประชาธิปัตย์เพื่อแผ่นดินชาติไทย หรือที่เรียกกันย่อๆว่าปชป.ซึ่งกำลังเมาหมัดหน้ามืดไม่แพ้นักมวยที่ชกอยู่บนเวที ขณะนี้หล่อใหญ่ มาร์ค ม.7 ก็กำลังหันรีหันขวาง ไปไม่เป็นอยู่เหมือนกัน ล่าสุดถึงขนาดต้องขายตัวเอ๊ยรูปลักษณ์แลกเสียงกันแล้วครับ

ความจริง รูปการณ์มันทำท่าไม่ดีมาตั้งแต่ต้นแล้วหละ วันนั้นพอจับฉลากหมายเลขพรรคได้ พลพรรคก็ตรงดิ่งไปเวทีปราศัยใหญ่ตามธรรมเนียมของพรรคเก๋ากึ้ก คือต้องเอาฤกษ์เอาชัย ตัดไม้ข่มนามไว้ก่อน ด้วยการจัดปราศัยใหญ่ ที่วงเวียนใหญ่ เรียกว่าเปิดฉากมาอย่างยิ่งใหญ่ว่างั้นเหอะ

แต่วันนี้ไม่เหมือนวันนั้นแล้ว พอขึ้นเวที เห็นคนมาฟังกะหร็อมกะแหร็ม ยังกะมาดูละครลิงแล้ว มาร์คก็แทบจะลมใส่ ต้องให้สื่อช่วยแก้เกี้ยวว่าเป็นปราศัยย่อย คนมาฟังล้นหลามตั้ง 700

แต่ขาเม้าท์ก็ยังไม่ยอมปล่อยให้ผ่านไปง่ายๆ บอกว่าปราศัยย่อยของพปช. คนฟังยังเยอะกว่านี้หลายเท่า นี่ขนาดว่าสื่อนับซ้ำแล้วซ้ำอีก ใครผ่านไปผ่านมาเป็นนับหมด หมาแมวยังงง ว่ามันนับตูเข้าไปด้วยทำไมวะเนี่ย ขนาดนั้นยังนับได้ไม่ถึง แต่ปัดเศษให้เป็น 700

ตั้งแต่บัดนั้นจนบัดนี้ ปชป.ถึงกับเข็ดเขี้ยวไม่เคยปราศัยใหญ่อีกเลย แต่ใช้วิธีหลีกเลี่ยงมาเป็นปราศัยย่อย ขนาดนั้นยังเอาตัวไม่รอดเลย ลงทุนจัดที่จัดทางวางเก้าอี้ให้ เสร็จสรรพหลายร้อยตัว กะว่าไม่พอยังมีเสริม

ที่ไหนได้มานั่งฟังกัน 30 คนบวกลบนิดหน่อย เรียกว่าเอาคนที่นั่งบนเวทีลงมานั่งแทนซะยังจะเยอะกว่าอีก งานนั้นเลยหน้าแหกเป็นริ้วปลาแห้งไปอีกตามระเบียบ จากปราศัยย่อยขาเม้าท์แซวว่าเป็นปราศัยย่อยยับ

เข็ดขี้อ่อนขี้แก่กันไป ไม่เอาแล้วปราศงปราศัย ต้องอาศัยว่าด้านได้อายอดแล้วละวะ เมื่อชาวบ้านไม่ยอมมาฟัง ก็ต้องเข้าประชิดตัว ออกเดินขอเสียงตามตลาดมันดื้อๆนี่แหละ ให้หอมแก้มก็ยอม ถ้ายังไม่ดูดำดูดีกันอีกก็ให้มันรู้ไป

คิดแล้วมันก็น่าให้น้อยใจอยู่เหมือนกันแหละ ทำไม๊ชาวบ้านถึงได้ใจจืดใจดำกะมาร์คกันนักก็ไม่รู้ ทีกะป๋าหมักละโอ๋กันเข้าไป ขนาดว่าหล่อก็ไม่หล่อ แถมยังปากร้ายอีกต่างหาก ยังรักกันนักรักกันหนา

ไปฟังปราศัยที จะใหญ่จะย่อยก็แห่กันไปมืดฟ้ามัวดิน ทุกครั้งต้องมีหมื่นขึ้น สื่อเลยต้องเหมารวม 10 หัวนับเป็นหัวเดียว หมาแมวไม่เกี่ยว

ดั้นด้นกันมา เค้ากักรถก็ลงเดินเอา เค้ากั้นถนนก็ลุยลงน้ำ เค้าไม่มีเก้าอี้ให้นั่ง ก็ยั้งอุตส่าห์หอบเสื่อพะรุงพะรังมาจากบ้าน ไปปูรอกันแต่หัววัน เออ... ดูทำกันไปได้ อะไรจะให้ท่ากันซะขนาดนั้น หาความเป็นกลางไม่มีอ้ะ ใจคอจะแบ่งมาฟังมาร์คมั่ง ซักสี่ซ้าห้าร้อยคนก็ยังไม่มี

คนเรายามตกอับ หมาแมวมันยังไม่เกรงใจ แค่เห็นชัดว่าปชป.ออกอาการเป๋เท่านั้นแหละ เห็บหมัดโดดหนีกันจ้าละหวั่น ขนาดหลงจู๊ห้าสั้นว่าซี้แหงย่ำปึ้ก ถึงขั้นด่าเตี่ยกันเล่นได้ ยังโกยอ้าว หนีหัวซุกหัวซุน ยังกับหลบระเบิด

คนมันจะซวย... ไม่รู้พี่เตี้ยแกไปผิดคิวท่าไหน ถึงได้โดดลงสะพานไม้ผุๆ หักโครมลงไปทั้งไม้ทั้งคน ลอยคอตุ๊บป่องๆในน้ำครำดำปี๋ หยั่งก๊ะลูกหมาตกน้ำ

อะไรไม่ว่า น้องแบมเดินหาเสียงอยู่ดีๆ ต้องมาพลอยซวย ตกน้ำป๋อมแป๋มไปด้วย อายจนแทบเอาหน้ามุดดิน แอบบ่นกะปอดกะแปดอยู่ในใจ... อั้ยอ่า ซวยอิ๊บอ๋าย เค้าเดินกันมากี่ปีกี่ชาติไม่เห็นเป็นอะไร มันมาแค่ครั้งแรกก็ล่อซะทรุด...

เมื่อหล่อใหญ่บ้อท่า บ่อเถ่าโหล่ว หล่อชราก็จำต้องออกศึก ลงทุนควบอีแก่ปุเลงๆออกขอเสียงชาวบ้าน อย่างที่เคยทำสำเร็จมาแล้ว เมื่อหลายสิบปีก่อน

เจ้ากรรม... ขาเม้าท์ก็ยังตามจิกไม่เลิก ออกลูกถากถางว่า จาไปทำไม๊ทางใต้น่ะ ไหนว่าเสียงแข็งโป๊ก ขนาดว่าเอาเสาไฟฟ้าลงยังเลือกไง ทำไมไม่ไปทางอีสานล่ะ ฐานเสียงอ่อนปวกเปียก เป็นมะเขือเผาอยู่ไม่ใช่เร๊อะ

แต่ถ้าจะให้ได้ชื่อว่าแน่จริงอ้ะนะ ต้องโน่นเลย บุรีรัมย์ เหยียบจมูกเจ้าห้อยให้ถึงถิ่นเล้ย เห็นชาวบ้านเขาถามหาอยู่เหมือนกันน่ะ จะมาเมื่อไหร่ขอให้บอก แค่แจ้งล่วงหน้า 1 ชั่วโมงพอ ไม่ต้องเตรียมอะไรมาทั้งสิ้น นอกจากปากอย่างเดียว ที่เหลือไว้ให้เป็นธุระทางนี้...

จะจัดยำใหญ่ใส่ไม้หน้าสามไว้คอยท่า เอาให้ม่วนซื่นโฮแซว ชนิดลืมไม่ลงไปจนวันตายเลยเชียว ว่างั้น... ฮา... เอิ๊กๆๆๆๆๆ

วโรทาห์: 11 ธ.ค. 2550

Wednesday, December 12, 2007

อ้าว... ท่านปี้ชวน... กลับบ้านเก่าซะและ

เห็นภาพข่าวคนแก่ๆควบจี๊ปเก่าๆ ปุเลงๆ กลับบ้านที่ตรังแล้ว น้ำตามันก็พาลจะไหล นึกไปถึงฉากสุดท้ายของหนังที่เห็นอยู่บ่อยๆ ตอนจบมักจะถ่ายด้านหลังของรถที่ค่อยๆขับห่างออกไปเรื่อยๆ จนลับตา ดูแล้วมันเป็นลางยังไงพิกล คิดเลยเถิดไปถึงว่า นี่เราจะได้เห็นท่านกลับมาทาสีต่อไม๊น้า

เรื่องของเรื่อง ก่อนที่จะมาถึงฉากนี้ ก็ต้องเท้าความกลับไปหลายฉาก เริ่มจากว่า ช่วงนี้ใครเป็นแฟนพันธุ์แท้พรรคเก่าแก่ ก็ต้องอึดอัดหาวเรอเป็นธรรมดา ค่าที่ยิ่งใกล้วันหย่อนบัตร คะแนนนิยมก็ยิ่งสาละวันเตี้ยลงๆ จนน่าเป็นห่วงอย่างยิ่งว่า เลือกตั้งเที่ยวนี้มีแววได้เป็นพรรคต่ำร้อย หน้าแหกเป็นริ้วปลาแห้งแน่ๆ

ว่าก็ว่าเหอะ ตั้งแต่เจ้าหน้าแหลมม.7 มารับช่วงเป็นกระบี่มือหนึ่งนี่ เล่นเอาแฟนคลับสะดุ้งผวา ไม่เป็นอันกินอันนอนไปตามๆกัน แรกๆเห็นมันพูดจ๋อยๆเป็นหลักเป็นฐานก็นึกว่ามันรู้เรื่อง แต่พอถึงเวลาขึ้นเวทีชกจริง มันดันโฉ่งฉ่างมั่วซั่วยังกับมวยวัด ออกหมัดแต่ละทีเข้าเบ้าตาตัวเองประจำ แฟนคลับขนานแท้ถึงกับลุ้นกันตาตั้ง

เวรกรรมอะไรก็ไม่รู้ ออกแคมเปญอะไรมาเป็นแป้กหมด ไล่ตั้งแต่วาระประชาชน ก็กลายเป็นภาระประชาชน มาถึง ประชาชนต้องมาก่อน เขาก็จำว่าประชาชนต้องตายก่อน ขนาดนัดไปเจอแฟนคลับที่ลาดพร้าว อุตส่าห์ให้ประชาชนมาก่อน 1 ชั่วโมง ชาวบ้านยังมายืนโล้งเล้ง เล่นเอาปี้สิดรับมุกแทบไม่ทัน

พอหันรีหันขวางไม่รู้จะทำอะไร นึกครึ้มขึ้นมา ก็ประกาศหาเสียง 24 ชั่วโมง นึกว่าจะมีอะไรเจ๋งเป้ง ที่แท้ก็หาเรื่องกลับไปเยี่ยมถิ่นเก่า ขอเสียงกับกะเทย เจ้ากรรมแมงหวีก็่ดันไปได้ยินสาวประเภทสอง แอบไปเม้าท์ลับหลังว่า ตูเลือกแน่ แต่เลือกไปทำผัวว่ะ ถ้าเลือกนายกฯนี่ ยังไงก็ต้องป๋าหมักเบอร์ 12 กร๊ากกก...

หาเสียงกับกะเทยเสร็จ หลังเที่ยงคืนไม่รู้จะไปไหนต่อ ชาวบ้านเค้าหลับกันหมดแล้ว ลูกน้องก็ดันพาแวะป่าช้าวัดดอน กะไปหาเสียงกับผี เผื่อให้ไปเข้าฝันบอกลูกหลานอีกต่อ แค่คืนเดียวเล่นเอาป่าช้าแตก นอนไม่หลับไปหลายคืน เข็ดขี้อ่อนขี้แก่ ตอนนี้ไม่เอาแล้ว 24 ชั่วโมง หันมาล่อ 99 วันอันตราย เอ๊ย 99 วันทำได้แน่ ดีกั่วกันเยอะแยะ

ขาเม้าท์ก็เม้าท์ไปได้เรื่อย บอกว่าทำไมต้อง 99 วันวะ จะร้อยก็ไม่ร้อย ขยักไว้หนึ่งวันหาพระแสงดาบคาบค่ายอะไรก็ไม่รู้ เคยเห็นแต่เค้าเก็บศพไว้ 100 วัน ไม่เห็นใครเค้าเก็บ 99 วันซักที สงสัยมันจะรีบเผาก่อน 1 วัน อย่างนี้นี่เล่าเค้าถึงได้เรียกว่า มะม่วงจำบ่ม ชิงสุกก่อนห่าม

เวลาถ่ายโฆษณาหาเสียง ก็มัวแต่เก๊กหน้าหล่อ เอียงหน้าให้กล้อง แหงนมองท้องฟ้า ทำยังกะโฆษณาแชมพูสระผม แล้วชาวบ้านเค้าจะรู้เรื่องไม๊นั่นว่าจะสื่ออะไร

เรื่องอาสามาเป็นนายกฯนี่ก็อีก มีแต่คนส่ายหัว ตาเฒ่าแคนแฟนพันธุ์แท้ ยังถึงกับออกปากว่า ไม่ไหวถ้าให้อ้ายเบื๊ือกนี่ขับ ตูว่ามันพาไปเทกระจาดแหง๋ม... แค่เจอเฒ่ายุทธพาขับชนโน่นชนนี่มาปีกว่านี่ ก็มึนจนแทบจะบ้าอยู่แล้ว ถ้ายังไงให้เฒ่าหมักขับ ยังเบาใจได้ว่าแกขับเป็น ถึงจะขับไปด่าไป ถ้าทนๆฟังแกหน่อย เดี๋ยวก็ถึงจุดหมายปลายทางเองแหละ

พวกคมช. ครส. กกต. กกน. ไปถึง ฮฮฮ.นี่ก็ห่วยหลือเกิน ยิ่งออกหน้ามาช่วยดัน ก็ยิ่งทรุดฮวบๆ นึกว่ามันจะดันขึ้น มันเสืือกดันลงหน้าตาเฉย ยังงี้ก็ตายกันพอดี

เรื่องของเรื่องก็เลยต้องเดือดร้อนป๋าดันเจ้าเก่าตัวจริงเสียงจริง ท่านปี้ชวน มือมีดโกนจอมโหด ที่ล่าสุดถึงกับเกิดอาการคุ้มคลั่ง ลุกขึ้นรำมีดโกนใส่พวกเดียวกัน ละเลงซะเลือดสาด โทษฐานใส่เกียร์ว่างเลียนแบบฤาษีเฒ่า สุดท้ายเลยต้องลากสังขารออกศึกเอง ลงชนแทนวัวให้มันรู้แล้วรู้รอดกันไป

เห็นกลับไปปัดฝุ่นเช็คเครื่องรถจี๊ปคู่ใจ ที่ใช้หาเสียงมาตั้งแต่หนุ่มๆ เรียกว่าเป็นเครื่องมือทำชั่ว หลอกลวงชาวบ้านมายาวนาน ตั้งแต่หนุ่มยันแก่ว่างั้นเหอะ กะว่าขับรถแก้บนเอ๊ยหาเสียง ขอความเห็นใจ ไล่ดะจากกรุงเทพฯไปเรื่อย ยันเมืองตรังบ้านเก่าเอ๊ยบ้านเกิดของแกโน่นแหละ

อ้าว... เห็นเชื่องช้ายังงั้น เผลอแป๊บเดียวแกสตาร์ทรถชึ่ง ควบปุเลงๆออกไปซะแระ ตะโกนเรียกก็ไม่ทัน

ที่เรียกนี่ก็ไม่ใช่อะไร ไหนๆก็เสียค่าน้ำมันไปแล้ว ก็กะว่าจะให้ช่วยสงเคราะห์ซักหน่อย ช่วยเอาตาเฒ่าหลายเสาี่ กับอ้ายบังหลายเมีย ซ้อนสามลงไปด้วยกันซะเลยทีเดียว ตาเฒ่าหัวหงอกนั่น ฝากไปคืนให้ชาวสงขลาเค้าด้วย แล้วก็ฝากบอกให้เก็บบูชาไว้ดีๆล่ะ อย่าปล่อยให้ออกมาเพ่นพ่านแถวนี้อีก

เห็นแกป้ำๆเป๋อๆตั้งหน้าตั้งตาทำชั่วให้ชาวบ้านเค้าเดือดร้อน เค้าก็เลยเลิกนับถือ รุมโขกเอาสับเอาทั้งแก่ๆนั่นแหละ เห็นแล้วก็เวทนาแก แก่จนปูนนี้ จะตายมิตายแหล่อยู่รอมร่อ ยังมาหน้ามึนอยู่ได้เนอะคนเรา

ส่วนอ้ายบังนั่น มันก็เกเรเกตุงจนเหลือขอแล้ว จะเอาไปปล่อยวัด มันก็เป็นแขก เลยเอาเป็นว่า็สุดแท้แต่ท่านจะเห็นสมควรเถอะ ถ้าคิดว่าตรงไหนเหมาะๆ ก็ถีบมันลงไปเลย แต่ถ้าจะให้ดีก็ช่วยพาเลยไปอีกนิด ส่งให้ถึงสามจังหวัดชายแดนภาคใต้โน่น เอาไปทำระเบิดพลีชีพใส่หมู่บ้านสีแดง ให้ราพณาสูร ก็จะเป็นเมตตามหากุศล เป็นพระคุณอย่างสูงต่อแผ่นดิน

ส่วนตัวท่านปี้ชวนเองก็รักษาเนื้อรักษาตัวให้ดีล่ะ อายุปูนนี้แล้วก็กลับไปตายที่บ้านเกิดน่ะดีแล้ว อย่าได้กลับมาหลอกหลอนชาวบ้านเค้าอีกเลย ซ้า...ธุ

วโรทาห์: 9 ธ.ค. 2550

Tuesday, December 11, 2007

ไม่เือาแล้วไทยรักไทย... กาโหลลูกเดียว

บอกตามตรงเมื่อก่อนเคยเลือกไทยรักไทยนะ เพราะเห็นเค้ามีนโยบายชัดเจนเจ๋งเป้ง ยิ่งเรื่องประชานิยมนี่ยิ่งจ๊าบสุดๆ ก็เลยลองเลือกดู พอครบเทอมยังไม่ค่อยแน่ใจ เลยขอเบิ้ลอีกซะ 1 สมัย สบายตัวไป

แต่มาถึงวันนี้ บอกตามตรง สาปส่งเลยไม่เอาแล้ว ยังไงก็ไม่เลือก ขอเลือกพลังประชาชนพรรคเดียวโดดๆเลย ก๊ากกกก... โทษที เสียกิริยาไปหน่อย

ความจริงแล้ว ที่พูดมานี่ก็ไม่ได้ล้อเล่นหรอกนะสิบอกให่ เพราะในใจก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน ยังลองสมมติดูเล่นๆว่า นี่ถ้าพวกกบฎเกิดผีออก มาบอกว่าที่ยุบไทยรักไทยไปน่ะล้อเล่น ขอให้พลังประชาชนกลับไปใช้ชื่อไทยรักไทยเหมียนเดิมเหอะ แล้วเราจะเอาไม๊ คำตอบมันก็ออกมาทันทีเลยว่าม่ายอาว ขอเป็นพลังประชาชนนี่แหละดีที่ซู้ด

มันก็แปลกดีเหมือนกัน พอยุบไทยรักไทย พลพรรคทั้งหมดก็เปลี่ยนมาหนุนพลังประชาชน โดยไม่ได้นัดหมาย ตอนนั้นก็ยังไม่มีคนถือธงด้วยซ้ำ แล้วชื่อนี้มันก็ดันขลังซะด้วย นอกจากความหมายเข้าล็อคกันดีแล้ว ชื่อนี้ยังแสลงหูพวกกบฎอย่าบอกใคร ไม่ว่าจะเป็นพวกคมช. พวกอำมาตย์ หรือพวกเลียบูททั้งหลาย

โดยเฉพาะพรรคเก่าแก่กาลีบ้านกาลีเมืองนี่ยิ่งแล้ว ชื่อพรรคพลังประชาชนถึงกับกลายเป็นของแสลงไปเลยแหละ พอได้ยินใครพูดเข้าหูมันพาลให้เกิดผดผื่นคันยังกับโดนหมามุ่ย หนักกว่านั้นคือตัวเองยังดันเผลอไปเรียกชื่อนี้ประจำ เวลาจะอ้างประชาชนขึ้นมา ยังเผลอไปอ้างพลังประชาชนเข้าให้เฉยเลย

คิดแล้วก็ให้สงสารพวกกบฎอยู่เหมือนกันนะ อุตส่าห์เผาบ้านเผาเมือง ทำชาวบ้านเจ๊งบ๊งไปไม่รู้กี่แสนล้าน สุดท้ายไม่มีอะไรในกอไผ่นอกจากหน่อไม้ ที่คิดสะระตะว่าถ้ายุบพรรคเรียบโร้ยโรงเรียนโจรแล้ว มีหวังพลพรรคไทยรักไทยวงแตกโงหัวไม่ขึ้นล้านเปอร์เซ็นต์

ที่ไหนได้ เค้า็หอบหิ้วกันไปตั้งพรรคใหม่ ดันไฉไลกว่าเก่าซะฉิบ ประชาชนก็ยังแห่แหนกันไปอุดหนุน เป็นล่ำเป็นสัน พวกกบฎได้แต่นั่งกุมขมับ สู้ยังงี้ไม่ยุบซะยังจะฮ้อแร่ดกว่ากันเยอะเลย อย่างน้อยก็ไม่ต้องมาถูกถากถางอีกว่า ถ้ารู้ว่ายุบแล้วดียังงี้ ให้ยุบไปตั้งนานแล้วลุ้ง...

ยิ่งตลกไปอีก เมื่อนึกถึงพวกตุลาการศาลเตี้ยที่ดาหน้าออกทีวี นั่งตากหน้าทำหน้ามึน อ่านแถลงการณ์ไม่ไว้วางใจพรรคไทยรักไทย ตั้งแต่เช้ายันดึกยันดื่น เพื่อล้างสมองให้ชาวบ้านเชื่อว่า พรรคนี้เลวร้ายซะเต็มประดา จนกระทั่งสรุปว่าพิพากษาให้ยุบพรรคตามฟอร์ม

โถ... ก็บอกแต่แรกซะก็สิ้นเรื่อง จะได้ไม่ต้องเสียเวลาฟังให้เมื่อยตุ้ม ดันมาทำให้เอิกเกริกจนดังไปทั่วโลก ต่างชาติยังสยองไม่กล้าเล่นก๊ะตุลาการพี่ไทย

นี่ถ้าเกิดวันหลัง คณะตลกชุดนี้ดันทะลึ่ง เอาวิดิโอไปเปิดให้ลูกหลานดู เด็กมันคงได้งงเต็กกันไปหมด แล้วถามว่า ปู่ไปยุบไทยรักไทยทำไมอ้ะ สู้ยุบพลังประชาชนไปเลย จะไม่เวิร์คกว่าเหรอปู่ มาทำอะไรโง่ๆ ให้ลูกหลานถูกเพื่อนๆล้อเลียนเอาเปล่าๆปลี้ๆ

คงเพราะเหตุนี้กระมัง เรื่องที่จะยุบพรรคพลังประชาชนถึงได้มีแค่เสียงเห่าหอน ไม่เห็นมีใครไปดำเนินการจริงจังซ้ากที วงการต่อรองเขาให้ราคา 100 บาทเอาขี้หมากองเดียวว่าไม่กล้า

เป็นใครก็ต้องคิดหนักหลายตลบ เพราะนอกจากต้องเสี่ยงเจอพลังทีนประชาชนตื้บเอาแล้ว ยังไม่รู้ว่าวันหลังไปตั้งพรรคใหม่ มันจะยิ่งเจ๋งเป้งฮ้อแร่ดกว่าเดิมอีกหรือเปล่า

นี่แหละเหตุผลพอสังเขปว่า ยังไงก็ไม่เลือกไทยรักไทย 55555

วโรทาห์: 9 ธ.ค. 2550

Thursday, December 6, 2007

เรื่องของกู

๏ แผ่นดินนี้ของข้า สืบกันมา หลายชั่วคน
สายเลือดบรรพชน คือคนไท ใจนักสู้
ลำบากแสนยากจน กูก็ทน เรื่องของกู
ไม่ให้ใครหยามหลู่ สายเลือดกู นักรบไท

๏ ผู้แทน-สิทธิของกู อย่าสู่รู้ กูเลือกใคร
ประชาธิปไตย กูเลือกใคร สิทธิของกู
ไม่ชอบก็อย่าเลือก แต่อย่าเสือก มาด่ากู
ทำเป็นมาสู่รู้ ทำท่ากร่าง วางนักเลง

๏ ไม่ต้องมาช่วยคิด กูมีสิทธิ์ จะคิดเอง
กูรู้ว่ามึงเก่ง อย่าอวดเบ่ง ข่มเหงกัน
ต่างคนก็ต่างอยู่ อย่าสู่รู้ เรื่องของกัน
ตัวใครก็ตัวมัน แยกจากกัน ไปให้ไกล

๏ พวกกูรู้จักคิด กูมีสิทธิ์ จะเลือกใคร
กูเลือกแต่มึงไล่ จะเอาไง เดี๋ยวเจอสวน
คราวนี้กูเหลืออด พอแพ้โหวต มึงก่อกวน
ดาหน้้้าออกมาป่วน เที่ยวตีรวน มันทุเรศ

๏ ธันวายี่สิบสาม เป็นฤกษ์งาม ยามไล่เปรต
คนไทยทั้งประเทศ ลุกขึ้นมา กาสิบสอง
ประชาธิปไตย ต้องเป็นไป ตามครรลอง
รวมใจไทยทั้งผอง ปรามคนชั่ว ให้กลัวเกรง

๏ คราวก่อนมึงมุดหนี ทีคราวนี้ ทำเป็นเก่ง
แมลงสาบชาติเส็งเคร็ง ชอบอวดเบ่ง ต้องเจอกู
พวกกูมันรากหญ้า ลุกขึ้นมา ละน่าดู
ประกาศให้โลกรู้ วันนี้กู ไม่กลัวมึง

วโรทาห์: ๖ ธันวาคม ๒๕๕๐

Tuesday, November 27, 2007

ปวงชนคือเกราะแก้ว...คุ้มภัย

๏ ในอ้อมกอด ขุนเขา ลำเนาป่า
พยัคฆา ใหญ่ยิ่ง ใน
สิงขร
ทะยานเหยียบ ทั่วป่า พนาดร
ยังอาทร แมกไม้ ในไพรพง

๏ แม้อินทรี เหินฟ้า นภากาศ
บินผงาด ท่วงท่า พญาหงส์
ประหนึ่งจ้าว เวหา สง่าทรง
ยังร่อนลง สู่ดิน ถิ่นนกกา

๏ จอมราชันย์ ครองแคว้น แดนประเทศ
ราชเดช เกรียงไกร ไปทั่วหล้า
แม้ครองยศ ครองทรัพย์ นับคณา
แพ้ครองใจ ไพร่ฟ้า ประชาชน

๏ ผู้ที่เป็น ยิ่งกว่า มหาบุรุษ
บริสุทธิ์ ผุดผาด ดังหยาดฝน
คือจอมทัพ จอมใจ ในกมล
อุทิศตน เพื่อราษฎร์ ชาติไผท

๏ ขอเพียงหวัง ตั้งมั่น จะฟันฝ่า
นำประชา หลีกพ้น ความหม่นไหม้
ให้พ้นทุกข์ พ้นโศก ปราศโรคภัย
ข้ามไศล โขดเถิิิน ดำเนินแนว

๏ คือบุรุษ สุดงาม ตามระบอบ
ประพฤติชอบ ดีีเลิศ ประเสริฐแล้้ว
ดังหยาดเพ็ชร เกร็ดดาว สกาวแวว
ปวงชนคือ เกราะแก้ว จักคุ้มภัย

วโรทาห์: ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๐

Sunday, November 25, 2007

จับอาวุธ... ขึ้นสู้

เพราะปีศาจ ภูตผี มันยีย่ำ
หรือเวรทำ กรรมสร้าง แต่ปางไหน
จึงอาภัพ อับจน หนอคนไทย
จะหันหน้า พึ่งใคร ไม่มีเลย

๏ แหงนมองฟ้า เบื้องบน ยิ่งจนหนัก
คิดจะพัก พึ่งพิง กลับนิ่งเฉย
นึกถึงคำ พร่ำสอน แต่ก่อนเคย
ลมรำเพย แผ่วพลิ้ว ก็ปลิวพลัน

๏ ปล่อยอำมาตย์ ชาติชั่ว มากลั้วเกลือก
เที่ยวสอดเสือก แส่ส่าย ทำลายขวัญ
ขับสมุน ดาหน้า ท้าประจัญ
เข้าห้ำหั่น ฝูงชน จนเลือดริน

๏ เกิดเป็นไทย ไพร่ฟ้า หรือข้าทาส
จึงอนาถ ยากแท้ แทบแดดิ้น
ถูกลิดรอน ทอนสิทธิ ลงติดดิน
รวยระริน ลอยคอ จะรอจม

๏ แม้ชีพยั้ง ยังอยู่ คงสู้ต่อ
ขืนทดท้อ ต่อไป ไม่เห็นสม
ชีพจะดับ ลับลา ไม่ปรารมณ์
ขอถล่ม อำมาตย์ ให้อัปรา

๏ ยังแต่สอง มือนี้ ที่ว่างเปล่า
จะสู้เขา อย่างไร ไม่กังขา
จับอาวุธ ในมือ คือปากกา
เข้าคูหา กาเบอร์ สิบสองพลัน

วโรทาห์: ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๐

Monday, November 19, 2007

บักใสหน้าดำ

โถ...บักใส หน้าดำ มาทำเขี่อง
คนทั้งเมือง รู้้เช่น มึงเป็นไผ
แค่เกาะขา ประชา- ธิปไตย
ไว้ยาใส้ หากิน พอสิ้นวัน

๏ มาสำราก เสียงขรม ทำข่มขู่
ไม่ให้กู เลือกใคร ตามใจฉัน
ต้องเลือกพรรค จัญไร ตามใจมัน
ไม่เช่นนั้ั้น พวกผี จะตีรวน

ถึงตานี้ ทีเรา ต้องเอาบ้าง
ถ้ามึงกร่าง คราวนี้ ไม่มีหยวน
ถ้าให้พวก เหลือขอ มาก่อกวน
ถ้ามาป่วน อีกที เห็นดีกัน

เสียทีเกิด เป็นไท แต่ใจทาส
ให้อำมาตย์ ร้อยเล่ห์ มันเหหัน
ไปรับใช้ ใกล้ชิด สนิทมัน
ให้มันปั่น จับตน สนตะพาย

ถ้าแน่จริง ออกมา อย่ามัวเห่า
สัญชาติเต่า โผล่หัว แต่ตัวหาย
มากันเลย รักชั่ััว อย่ากลัวตาย
ไปจูงควาย ออกมา จะช้าใย

เห็นลูกพี่ ตัวดี ยังหนีบวช
เหลือตะกวด หอกหัก อ้ายบักใส
จะคอยดู เพื่อนซี้ มึงมีใคร
คราวนี้ได้ ตายเดี่ยว ห่อเหี่ยวใจ

วโรทาห์: ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๐

Sunday, November 11, 2007

จักขบถต่ออำมาตย์

๏ แดนดินถิ่นไทนี้ คือถิ่นที่ กำเนิดกาย
ปู่ย่าและตายาย ได้สร้างหลัก ลงปักฐาน
สืบต่อถึงพ่อแม่ คือไทแท้ แต่โบราณ
วันเวียนจำเนียรกาล เป็นตำนาน นักรบไท
๏ ไม่หวังจะเรืองรุ่ง ไม่เคยมุ่ง จะเป็นใหญ่
เพียงขอพออยู่ได้ ให้ปลอดหนี้ พอมีสิน
นายกฯที่เราตั้ง คือความหวัง ในชีวิน
แผ้วถางทางทำกิน ช่วยคนจน มีแรงใจ
๏ ความหวังพังพินาศ เพราะอำมาตย์ ผู้ยิ่งใหญ่
ธาตุแท้เห็นแก่ได้ ในดวงจิต ริษยา
อิจฉาพยาบาท ผูกอาฆาต ไม่คลาดคลา
ทิฐิอันแรงกล้า ดุจผีร้าย ทำลายชาติ
๏ ข้าขอทรยศ จักขบถ ต่ออำมาตย์
ยืนยงอย่างองอาจ มิยอมให้ ใครข่มเหง
แข็งขืนขึ้นต่อสู้ ไม่ิยอมอยู่ อย่างกลัวเกรง
คนไทใจนักเลง เลือดนักสู้ ผู้พิชิต
๏ ชีวิตเป็นของข้า โชคชะตา ข้าลิขิต
ข้าขอปกาศิต ชีวิตเอง ไม่เกรงฟ้า
เชิดหน้าขึ้นสู้ต่อ ไม่งอนง้อ ขอเทวา
สร้างฝันวันของข้า วันประชา มหาชน
๏ สิ้นชาติขาดกันแล้ว เหมือนดวงแก้ว มีแววหม่น
แก้วแตกถึงแหลกป่น จนขาดวิ่น ต้องผินหลัง
แต่นี้ขอเป็นไท ไม่อยู่ใต้ กิ่งใบบัง
ชีวิตยังมีหวัง ด้วยพลัง ประชาชน

วโรทาห์: ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๐

Tuesday, November 6, 2007

หน้าแหลม ฟันดำ(โคลงสี่สุภาพ)

อันใดย้ำหน้าเจ้า จนหงอย
ลวดลายดุจร่องรอย รองเท้า
ดูดั่งยังอยากคอย คู่ใหม่
สมแล้วตะกวดเฒ่า หน้าแหลม ฟันดำ

วันวันหมั่นแกว่งปาก หาเสี้ยน
ค่ำเช้าเฝ้าแวะเวียน สำราก
เห็นหน้าอยากอาเจียน อ้วกแตก
ทีเผลอเตะผ่าหมาก ล้มคว่ำ หน้าเขียว

ไร้มิตรผู้ปราดเปรื่อง ช่วยชี้
ไร้บุพการี สอนสั่ง
ไร้สำนึกชั่วดี เลวสุด แล้วเฮย
คั่งแค้นเคียดชิงชัง ฝังเข้า กระดูกดำ

เจียนอยู่เจียนไปแล้ว เต็มที เฒ่าเฮย
จ่อขอบอเวจี แล้วหนา
หมั่นเพียรสร้างความดี โดยด่วน เถิดเอย
มัวทำตัวชั่วช้า ตายห่า หมาเมิน

วโรทาห์: ๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๐

Tuesday, October 23, 2007

ตะกวดเฒ่า (หน้าแหลมฟันดำ)

๏ จกเอาไปป์ ใส่ยา ขึ้นมาคาบ
ทำพะงาบ สูบพลัน ควันโขมง
นั่งคิดวาง แผนชั่ว เป็นตัวโกง
กลัวเข้าโลง ไม่ถึง ซึ่งโลกันตร์

๏ หน้าก็แหลม ดังว่า หน้าตะกวด
เผยออวด ฟันดำ ทำเย้ยหยัน
นั่งวางท่า เย่อหยิ่ง เหมือนลิงจัณฑ์
ถ้อยจำนรรจ์ เน่าเหม็น เช่นอาจม

๏ พอพูดที เหมือนผี มันเจาะปาก
เที่ยวสำราก ขากถุย มาคุยข่ม
ทั้งถางถาก ปากเหม็น แทบเป็นลม
ใช้คารม คมคำ ทำแชเชือน

๏ อันสัญชาติ จิ้งจอก นั้นกลอกกลิ้ง
ยิ่งกว่าลิง หลอกเจ้า เขาทำเหมือน
ถึงจะแก่ หงำเหงอะ จนเลอะเลือน
สันดานเถื่อน เก่าก่อน บ่ห่อนคลาย

๏ เมื่อปีศาจ ฟันดำ ทำผยอง
หวังยึดครอง อำนาจ ที่มาดหมาย
ใช้เล่ห์กล ต่ำช้า พาวอดวาย
บ่อนทำลาย รากหญ้า ดังห่ากิน

๏ ถึงจบสิ้น ดินฟ้า ไม่ซาโศก
คนรกโลก อยู่ไป บรรลัยสิ้น
คอยมุ่งร้าย ประชา เป็นอาจิณ
ขอฟ้าดิน ลงทัณฑ์ ให้บรรลัย

วโรทาห์: ๒๓ ตุลาคม ๒๕๕๐

Friday, October 19, 2007

สี่เสายังรู้พลาด

๏ ใช่ว่าชาย โอ่อ่า อาชาชาติ
ใช่องอาจ เก่งกล้า มาจากไหน
เพียงท่องบ่น คุณธรรม ประจำใจ
เลยยิ่งใหญ่ กว่าเหล่า ชาวประชา

๏ หยิ่งทะนง หลงไหล ว่าใจภักดิ์
คิดว่าศักดิ์ สูงเยี่ยม เทียมเวหา
ทุกหมู่เหล่า รู้เช่น ว่าเป็นกา
พวกขี้ข้า นั่งวอ เขายอเยิน

๏ ใช่ว่าสูง เทียมฟ้า มาแต่เกิด
ใช่กำเนิด สูงส่ง เป็นหงส์เหิน
หลงคารม คมคำ เขาทำเพลิน
เลยแสร้งเมิน คำด่า ประชาชัง

๏ ตั้งสี่ขา คาอยู่ ยังรู้พลาด
อีกนักปราชญ์ ชั้นครู ยังรู้พลั้ง
แค่สี่เสา เน่าใน จะใกล้พัง
ฤาจะยั้ง ยืนยง คงกระพัน

๏ อายุขัย เหลือน้อย กระจ้อยริด
ยังไม่คิด แผ้วถาง ทางสวรรค์
เห็นแต่เดิน ดุ่มโด่ ไปโลกันตร์
ไม่เคยหัน นึกห่วง ถึงปวงชน

๏ พอทวยราษฎร์ แช่งด่า ถลาหลบ
ครั้นประจบ สบช่อง เลยล่องหน
ไว้วันดี ผีห่า มันมาดล
คงได้ยล ลูกป๋า มาครองเมือง

วโรทาห์: ๑๙ ตุลาคม ๒๕๕๐

Tuesday, October 9, 2007

สาส์นถึงผู้ที่อยู่แดนไกล (ฉบับที่ 2)

พลันที่ฤาษีเต่า หาญกล้าหักหาญพวกมันกันเอง ประกาศประลองยุทธวันที่ยี่สิบสามเดือนสิบสอง โดยมิปรึกษาผู้ใด พวกมันก็ถึงกับมองตากันปริบๆ แล้วลงดิ้นพล่านดั่งใส้เดือนถูกขี้เถ้า ยิ่งเมื่อวีรบุรุษไม่ได้ปูนบำเหน็จเป็นแม่ทัพบก พวกมันก็ถึงกับหัวใจแตกสลาย

ที่แท้พวกมันหวาดกลัวแสนยานุภาพของเรายิ่งนัก เกรงว่าหากถึงวันประลองยุทธ พี่น้องเรากรีธาทัพออกมาพร้อมกันทั่วทั้งแผ่นดิน พวกมันย่อมมิอาจรับมือ จึงจิกตีกันวุ่นวายกัดกันยิ่งกว่าสุนัข เพื่อหาเหตุเลื่อนวันประลองยุทธออกไป

เรื่องอัปมงคลเหล่านี้ข้ายังไม่อยากเล่าให้เจ้าฟัง ไว้รอฝุ่นควันจางลงแล้วข้าจะค่อยๆเล่าภายหลัง

มาถึงวันนี้หากไม่พูดถึงจอมกระบี่โผงผาง ท่านผู้เฒ่าซุนซามัก คงไม่ได้แล้ว นึกไม่ถึง เจ้าส่งคนผู้นี้มาถือธงนำหน้าพรรคเรา นับเป็นหมากที่แหลมคมยิ่ง วางลงไปข้าศึกถึงกับผงะ หงายหลังตกเก้าอี้ นึกไม่ถึงมีเรื่องเช่นนี้ ถือว่านอกเหนือความคาดหมายจริงๆ

เพียงสัมผัสกลิ่นอายท่านผู้เฒ่า เหล่าสุนัขรับใช้และโหงพรายก็ถึงกับกรีดร้องโหยหวน ประหนึ่งได้กลิ่นความตาย พลันท่านผู้เฒ่าปรากฎกายออกมาพวกมันก็ถึงกับแตกฮือวิ่งหนีตายไปคนละทิศละทาง คะเนว่าพ้นรัศมีสังหารของจอมยุทธเฒ่าแล้ว จึงหันกลับมาเห่าหอน วางท่าว่ามิเกรงกลัว แต่ยังคงเห่าไปถอยหลังไปรักษาระยะห่างไว้มิให้ท่านผู้เฒ่าเข้าใกล้ได้

เหล่าปีศาจร้ายล้วนรู้ซึ้งถึงพิษสงของท่านผู้เฒ่าดี เพราะต่างได้เคยลิ้มรสเพลงกระบี่ขี้บ่น ฟาดฟันไปบ่นไป เจ็บตัวไม่พอยังต้องเจ็บใจเพราะถูกบ่น ต้องเข็ดขยาดไปจนตาย ไม่คิดตอแยอีก

ว่าไปแล้วเส้นทางชีวิตบนถนนการเมืองของจอมยุทธซุนท่านนี้ ก็ช่างเหมือนกับเจ้าไม่น้อย ต่างถูกใส่ร้ายป้ายสีโดยพรรคกาลี ที่ร่วมมือกับพวกสื่อชั่ว ด้วยข้อหาทุจริตอันเลื่อนลอย ยิ่งกล่าวหาโดยไม่มีหลักฐานดุจเดียวกันแต่สุดท้ายราษฎรกลับรู้ว่าท่านนั้นบริสุทธิ์ยิ่งนัก

อันอาวุโสซุนท่านนี้ คนรักชอบก็มาก ที่ชิงชังก็มีไม่น้อย ยังนับว่าโชคดีพี่น้องเราจิตใจกว้างขวาง เพื่อบ้านเมืองแล้ว แม้ชิงชังแค่ไหนยังยอมปล่อยวาง แม้คนที่เคยมีความแค้นต่อกันยังยอมเลิกรา ไม่คิดถือสา นับว่าน่านับถือยิ่ง ส่วนตัวของท่านผู้เฒ่าเองยิ่งมิเคยพยาบาทผู้ใด

ในสถานการณ์เช่นนี้ สมควรใช้จอมยุทธฝ่ายบู๊เข้าพิชิตศึก ยังมีผู้ใดเหมาะสมเท่าท่านผู้เฒ่าซุนอีก เมื่อต้องเผชิญหน้าขั้นแตกหักกับเหล่าอสูรร้ายที่รวมหัวกันเข่นฆ่าผู้คนไร้ความปราณี มีแต่เพลงกระบี่สังหารกำราบอธรรม ของท่านจอมยุทธโผงผาง จึงจัดการกับพวกมันได้

แม้ท่านผู้เฒ่าจะชราไม่น้อยแล้ว ในวัยนี้สมควรต้องพักผ่อนให้มาก แต่เพื่อเห็นแก่ราษฎร ยังไงต้องขอเอาเปรียบท่าน รบกวนให้ออกหน้า นำพาเหล่าจอมยุทธธรรมะ กวาดล้างฝูงปีศาจให้ราบคาบเสียก่อน เมื่อเสร็จศึกแล้วจึงเปลี่ยนให้ท่านไปพักผ่อน ปล่อยให้จอมยุทธฝ่ายบุ๋นออกมาสร้างบ้านแปลงเมืองต่อไป

พวกมันไม่ยอมเลิกราจริงๆ สองวันก่อนยังส่งคนเข้ามาในหมู่บ้านข้า เรียกคนไปชุมนุม แล้วสั่งสอนให้รู้จักประชาธิปไตย ทั้งให้รู้จักแยกแยะคนดีคนชั่ว สรุปก็คือด่าเจ้าให้พวกข้าฟัง พรรณนาความผิดของเจ้าอย่างยืดยาว เพื่อให้พวกเรารวมหัวกันเกลียดชังเจ้า ข้าฟังแล้วขัดใจนัก จึงได้ลุกขึ้นตอบโต้มันไปหลายคำว่า

ข้านั้นแม้ร่ำเรียนมาน้อย แต่ยังพอรู้จักแยกแยะดีชั่ว ไม่จำต้องให้ผู้ใดมาสั่งสอน ยังมีบุพการีสอนสั่งให้รู้จักกตัญญูรู้คุณคน รู้จักว่าบุญคุณต้องทดแทน แค้นยังพออภัย

ข้อหาของเจ้าก็เป็นเรื่องของเจ้าผิดถูกให้ตุลาการที่เที่ยงธรรมเป็นผู้ชี้ขาด ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของข้าไปช่วยตัดสิน แต่ความดีของเจ้าที่ช่วยเหลือพวกข้า แม้ตายยังมิอาจลืมเลือน

ในเมื่อเจ้าออกหน้าช่วยเหลือพวกข้า แม้ไม่ได้ช่วยเหลือข้าโดยตรง เพียงแต่ช่วยเหลือพี่น้องข้าก็เหมือนช่วยเหลือข้า แล้วข้าจะเกลียดชังเจ้าได้อย่างไร

อย่าว่าแต่ผู้มีบุญคุณอย่างเจ้า แม้แต่ผู้ที่ไม่เคยดีต่อข้า ความผิดก็ชัดแจ้ง ถูกศาลตัดสินลงโทษแล้ว ข้ายังไม่เคยไปคิดชิงชังพวกเขา ในเมื่อเขาถูกลงโทษตามกฎหมายบ้านเมืองแล้ว ธุระอะไรของข้าต้องตามไปลงโทษเพิ่มเติมอีก หากทำเช่นนั้น ใยมิใช่ตั้งศาลเตี้ยตามอำเภอใจหรือ

เจ้ายอมเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย ต่อสู้กวาดล้างเหล่าคนพาลผู้มีอิทธิพล ฝากรอยแค้นไว้ให้พวกมันมากมาย พาครอบครัวตัวเองเข้าไปอยู่ในอันตราย เพื่อให้พวกข้าอยู่เย็นเป็นสุข หากข้าไม่ปกป้องเจ้า ยังขับไล่ใสส่งออกไปกลางถนน ให้พวกเดนคนมันแก้แค้น ข้ายังสมควรเป็นคนอยู่หรือ

เรื่องเลือกตั้ง ข้าเองก็เคยลงติ้วเลือกตั้งไปหลายครั้ง ข้ายังไม่เคยสนใจว่าผู้อื่นเลือกเหมือนข้าหรือไม่ แต่เหตุใดพวกมันต้องมาชี้นำให้ข้าเลือกคนนั้น ไม่เลือกคนนี้ นี่เป็นประชาธิปไตยแบบไหนกัน

แม้ข้าโง่เขลายังพอรู้ว่า ประชาธิปไตยใช่ว่าเป็นการปกครองของคนฉลาด ทุกคนมีหนึ่งเสียงเท่ากัน หาแบ่งแยกชนชั้นไม่ เมื่อเป็นเช่นนั้น จะยังไงข้าก็ยืนยันขอตัดสินใจกำหนดชะตาชีวิตของข้าเอง

พลันข้าพูดจบพี่น้องข้าต่างตบมือชมเชย ทำให้หัวใจข้าพองโต จนหน้าอกยืดขึ้นอีกหลายนิ้ว ส่วนพวกมันก็ถึงกับนิ่งอึ้ง สีหน้าเหมือนไม่ได้ขับถ่ายมาหลายวัน หากเป็นเมื่อเดือนก่อน พวกมันต้องไม่ปล่อยข้าเอาไว้แน่ เพียงแต่ตอนนี้หัวหน้าของพวกมันหมดวาสนาไปแล้ว ข้าจึงพอจะขึ้นเสียงได้บ้าง

ทุกครั้งที่เอ่ยถึงเจ้าให้พี่น้องเราได้ยิน หยาดน้ำตาก็เอ่อท้นเบ้าตาของพวกเขา ข้าไม่อยากเห็นน้ำตาของพี่น้องข้า ยิ่งไม่ต้องการรับรู้ถึงความทุกข์ระทมของพวกเขา แต่พวกเขาก็ชมชอบมาลอบอ่านสาส์นที่ข้าเขียนถึงเจ้า แล้วไปแอบหลั่งน้ำตา ยังบังคับให้ข้าเขียนอีก แล้วกำชับให้ส่งให้พวกเขาอ่านก่อนทุกครั้ง

เกื้อกูลต่อกันย่อมก่อเกิดไมตรี เมื่อมีไมตรีจึงผูกพัน ผูกพันย่อมคิดถึง ความคิดถึงนั้นเกาะกินหัวใจอยู่ทุกคืนวัน เฝ้าครุ่นคิดคำนึงมิรู้วาย ใจหนึ่งอยากสลัดทิ้งไป แต่อีกใจหนึ่งกลับอยากเก็บไว้จดจำ บางครั้งข้าก็นึกอยากชิงชังเจ้านัก หากทำเช่นนั้นได้ ข้าคงไม่ต้องมาแบกรับความขมขื่นเฉกเช่นทุกวันนี้

คงเป็นเพราะว่าพวกเรามีวาสนาต่อกันมาแต่ชาติปางก่อน จึงได้มาเกื้อกูลกันในชาตินี้ แม้เจ็บปวดเพียงใดพวกเรายังต้องอดทน มีแต่พวกเรากลมเกลียวกันไว้จึงฝ่าฟันพายุร้ายลูกนี้ไปได้ เจ้าจงวางใจ ถึงอย่างไรพวกข้าไม่ทอดทิ้งเจ้า ยิ่งหวังว่าเจ้าก็ไม่ทอดทิ้งพวกข้าดุจเดียวกัน

ฟ้าดินจงเป็นพยานวันนี้ข้า วโรทาห์ ขอบังอาจเป็นตัวแทนพี่น้อง ประกาศต่อฟ้าดินว่า นับจากวันนี้ พวกข้าขอสาบานเป็นพี่น้องกับเจ้า ต่อไปภายหน้ามีสุขร่วมเสพย์มีทุกข์ร่วมต้าน เราจักผนึกกำลังกันทั่วทั้งแผ่นดินเพื่อทวงคืนอำนาจของเรา เราจักไม่ทอดทิ้งกันตราบชั่วฟ้าดินสลาย...

ตัวหนังสือที่ข้าเขียนเส้นอาจจะบางไปบ้าง เป็นเพราะข้าต้องใช้น้ำหมึกอย่างพอเพียง จึงต้องลำบากเจ้าเพ่งสายตาอ่านเอาหน่อย... นึกไม่ถึง ขิงเฒ่ามาดูแลบ้านเมืองหนึ่งปี ทำข้าจนลงไปอย่างน่าประหลาด แม้แต่เงินซื้อน้ำหมึกยังไม่มี

เฮ่ย... ซวยจริงๆ หนึ่งปีผ่านไป ทำการงานสิ่งใดไม่สำเร็จสักอย่าง จำเพาะมาทำสำเร็จเรื่องหั่งเช้งพอเพียงเรื่องเดียว เวลานี้ราษฎรทั่วทั้งแผ่นดิน ได้อดอยากกันถ้วนหน้า มิพอเพียงยังต้องพอเพียงแล้ว

แต่เจ้าไม่ต้องกลัว ข้ายังเหลือกระบือแก่ๆอยู่อีกหนึ่งตัว ขายไปคงได้เงินหลายอีแปะ ข้าสัญญาว่าหากขายได้จักเจียดเงินไปซื้อน้ำหมึกมาเพิ่มเติม เพื่อขีดเขียนเส้นหนาขึ้นอีกสักหน่อย คงช่วยให้เจ้าอ่านสบายตาขึ้นมาไม่มากก็น้อย

วันนี้ข้าต้องพอก่อน ฝากบอกฮูหยินดูแลเจ้าให้ดีด้วย เพื่องานใหญ่ของเราในภายหน้า ส่วนเจ้าเองก็ต้องรักนางให้มาก ไม่ว่าอย่างไรห้ามทำให้นางเสียใจโดยเด็ดขาด หากวันใดให้ข้ารู้ว่าเจ้ารังแกนางละก็ ข้าต้องไม่ปล่อยเจ้าเอาไว้แน่

พี่น้องเราล้วนอยากส่งสาส์นถึงเจ้า หากแต่พวกเขาไม่สะดวกที่จะเขียนสาส์นเอง จึงขอร่วมลงชื่อในท้ายสาส์นของข้า เจ้าก็ดูเอาเองแล้วกัน ว่าพี่น้องเรามีอยู่มากมายเพียงใด

วโรทาห์: ๙ ตุลาคม ๒๕๕๐

Saturday, October 6, 2007

สะพรั่งกำสรวล

๏ โอ้สะพรั่ง นั่งเหงา ดูเศร้าหมอง
น้ำตานอง อาบหน้า พาอับเฉา
ถูกอ้ายแขก เพื่อนรัก มันหักเอา
นั่งหน้าเศร้า เปล่าเปลี่ยว อยู่เดียวดาย
๏ เคยแต่ควง ปืนจริง ออกยิงหมา
พอย้ายมา ตบยุง มันยุ่งหลาย
เพราะมันปาก ตลอด เลยวอดวาย
แสนเสียดาย ยศนี้ ที่หมายปอง
๏ เมื่อยามสิ้น วาสนา ชะตาขาด
หมดอำนาจ วาสนา คราสยอง
เคราะห์ก็ซ้ำ กรรมร้าย มาก่ายกอง
ตกกระป๋อง ยกแก๊งค์ เข้าแก่งคอย
๏ ทั้งเพื่อนลิ้ม เพื่อนวิด ก็หวิดม้วย
ดันมาช่วย เพื่อนพรั่ง ที่นั่งหงอย
ทวงตำแหน่ง ผบ. ที่หลุดลอย
เลยถูกสอย ลอยร่วง เข้ารวงรัง
๏ ก่อนเคยยอบ นอบนบ เข้าซบป๋า
หวังได้้มา ให้คุณ คอยหนุนหลัง
ป๋าก็ยัง นั่งเฉย มันเลยพัง
ปล่อยสะพรั่ง นั่งงง เฝ้าสงกา
๏ ถ้าเจองู เจอแขก ให้ตีแขก
แต่ทั้งแขก ทั้งงู ไม่สู้ป๋า
ถ้าเจอป๋า เจอแขก เดินแถกมา
พรั่งตีป๋า ก่อนแขก อย่าแปลกใจ

วโรทาห์: ๖ ตุลาคม ๒๕๕๐

!!! ขอแซวอีกแค่ครั้งเดียวแล้วเลิกนะพี่พรั่งนะ !!!

Wednesday, October 3, 2007

สาส์นถึงผู้ที่อยู่แดนไกล



นับเป็นเวลาเนิ่นนานมาแล้วที่ข้าไม่ได้ขีดเขียนถึงเจ้า คิดไม่ถึง ล่วงเลยวันอัปมงคลที่สิบเก้าเดือนเก้าแล้วจึงมีโอกาสเขียนมาอีกครั้งหนึ่ง นี่ก็นับว่าครบรอบหนึ่งปีแล้วที่โจรถ่อยยกพวกเข้าปล้นแผ่นดินของเรา ทำให้เจ้าต้องจากไปอยู่แดนไกล

เวลาหนึ่งปีภายใต้เงื้อมมือมหาโจรก่อเกิดเรื่องราวมากมาย เป็นเวลาหนึ่งปีที่แสนทุกข์ยาก พวกโจรมิเคยคิดเหลียวแลทุกข์สุขของราษฎรแม้แต่น้อย กลับทุ่มเทสรรพกำลังเพื่อกำจัดเจ้าให้สิ้นซาก วาดหวังให้ราษฎรทั้งแผ่นดินหันมาสมานฉันท์ รวมหัวกันเกลียดชังเจ้าแต่ผู้เดียว

ช่างเป็นความคิดที่โง่เขลานัก เพียงเพื่อกำจัดคนคนหนึ่งมันถึงกับทำลายบ้านเมืองพินาศย่อยยับ เหตุเพราะมันไม่เห็นหัวราษฎรพี่น้องเราจำนวนมหาศาลที่หนุนหลังเจ้าอยู่ ยังคิดกำจัดให้หมดสิ้นไปพร้อมเจ้า

สุดท้ายพวกเรานอกจากไม่ตายยังกลับกล้าแข็งขึ้น พวกมันยิ่งนับวันยิ่งกลัดกลุ้มจนด่าทอกันเอง จิกตีกันดุจดังไก่ในเข่งยามตรุษจีน

เป็นเพราะมันไม่เห็นพวกเราอยู่ในสายตา ดูแคลนราษฎรว่าโง่เขลา ถูกเจ้าซื้อหาด้วยเงินตรา จึงทำให้พวกมันคาดการณ์ทุกอย่างผิดเพี้ยนไปหมดสิ้น มันคิดว่าราษฎรหาได้ผูกพันกับเจ้าไม่ เป็นเพียงชื่นชอบในเงินตราของเจ้า

พวกมันล้อเล่นกับศรัทธาของราษฎร จึงใช้ศรัทธาของพวกเขามาทุ่มเทบดขยี้เจ้า ศรัทธาในการยุติธรรม ศรัทธาในสื่อสารมวลชน ศรัทธาในสถาบันวิชาการ และแม้แต่ศรัทธาในตัวบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายกลับถูกนำมาใช้จนหมดสิ้น

ยังมีคนบางคนถึงกับชักใยอยู่เบื้องหลังโจรชั่ว เมื่อโจรปล้นสำเร็จ คิดว่าราษฎรชื่นชม ถึงกับรีบเสนอหน้าออกมารับความดีความชอบ คาดไม่ถึงถูกราษฎรสาปแช่งต้องรีบหดหัวกลับไป ต่อมากลับพลิกลิ้นปฏิเสธไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับพวกโจร

ศรัทธานั้นเปราะบางนัก สร้างก็แสนยาก รักษาไว้ยิ่งยากกว่า เพียงเดินผิดพลาดไปก้าวเดียว ศรัทธาที่สั่งสมมาหลายสิบปีก็พลันมลายหายไปในชั่วพริบตา
ศรัทธาของผู้คนใช่ว่านำมาใช้ส่งเดช หากถูกนำมาใช้เพื่อทำลายล้าง ศรัทธาย่อมเสื่อมสลายลงอย่างรวดเร็ว

รักชอบอาจแปรเปลี่ยนเป็นศรัทธา แต่ศรัทธาที่เสื่อมถอยแล้วไม่อาจหวนกลับไปเป็นความรักได้ มีแต่แทนที่ด้วยเคืองแค้นและเกลียดชัง ยังอาจลุกลามเป็นวิกฤติศรัทธา จนหักโค่นลงได้ ต่อให้ใช้ทรัพย์แผ่นดินไปมากมายป่าวประกาศเรียกศรัทธากลับคืน ยังคงไม่เป็นผล

ผู้เฒ่ากาลีบ้านกาลีเมืองทั้งหลายที่เคยโก่งคอขันเจื้อยแจ้วทุกเช้าเย็น บัดนี้สุ้มเสียงกลับแหบพร่า เสียงพูดเปรียบไปดั่งผายลมไร้ผู้คนนำพา

คิดขึ้นมาแล้วแค้นใจนัก นึกถึงมันกระหน่ำตีครอบครัวเจ้าอย่างต่ำช้าแล้ว พวกข้าต่างเจ็บแค้นแทนเจ้าอย่างยิ่ง แม้แต่เด็กเล็กมันยังไม่ละเว้น พวกมันตีเจ้าหนึ่งทีก็เหมือนตีพวกข้าหนึ่งที เจ้าเจ็บพี่น้องเรายิ่งเจ็บกว่า แค้นใจที่มิอาจออกหน้าช่วยเหลือเจ้าในยามคับขัน ได้แต่กล้ำกลืนเก็บไว้ในใจรอวันสะสาง

พูดถึงฮูหยินของเจ้า นางก็ช่างองอาจนัก คิดไม่ถึง อิสตรีอ่อนหวานนางหนึ่งหาญกล้ายืนสู้ตามลำพังในท่ามกลางฝูงอสุรกายกระหายเลือดอย่างทระนง ท่วงท่าสง่างามดั่งพญาหงส์ เยือกเย็นดุจนางสิงห์ แม้ปีศาจร้ายยังมิอาจไม่ครั่นคร้าม สมแล้วที่ถือกำเนิดจากตระกูลนักรบผู้กล้า

นับว่าเป็นวาสนาของเจ้าโดยแท้จึงมีฮูหยินที่ประเสริฐเยี่ยงนี้ เห็นนางยืนสู้เคียงบ่าเคียงไหล่เจ้าเสมอมามิเคยออกปากบ่นแม้แต่น้อย ถึงเจ้าไม่เอ่ย พวกเรายังรู้ได้ว่าเจ้ารักนางเพียงใด

ฟ้าดินเมตตา บัดนี้ครอบครัวของเจ้าก็ได้ไปอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาในที่ปลอดภัยแล้ว พวกข้าจึงค่อยวางใจ นับจากนี้ไปก็ถึงเวลาที่พวกเราจักได้สะสางกับพวกโจรชั่วแล้ว

บัดนี้กองกำลังพี่น้องเรานับสิบล้านซ่องสุมกันอยู่ทั่วแผ่นดิน พวกมันได้กลิ่นแต่ไม่อาจมองเห็นตัว ถึงกับหวาดกลัวราวกับสุนัขได้กลิ่นสาปเสือ คิดอ่านขอเลื่อนวันประลองยุทธออกไป แต่ถึงอย่างไรช้าเร็วพวกเราก็ต้องยึดอำนาจของเรากลับคืนมาจนได้

พวกเราความรู้ต้อยต่ำร่ำเรียนได้ครึ่งๆกลางๆ รู้จักหนังสือเพียงไม่กี่ตัว แม้หากวันหน้ายึดอำนาจกลับมาได้ก็จัดการไม่เป็น ไม่ว่าอย่างไรคงต้องรบกวนเจ้ากลับมาอีกครั้งหนึ่ง

ถึงเวลานั้นเจ้าคิดบ่ายเบี่ยงก็คงไม่ได้แล้ว ที่ผ่านมาเจ้าไม่ออกหน้า นำพาพวกเราต่อสู้กับพวกโจรเราไม่ถือสา ยังลอบกินส้มตำไก่ย่างอยู่แดนไกลไม่แบ่งปันพวกเรา ไม่มีใครคิดตำหนิเจ้าแม้สักครึ่งคำ ย่อมนับว่าได้อ่อนข้อให้เจ้ามามากแล้ว

พูดแล้วอับอายยิ่ง ข้ามีความในใจเล็กน้อยใคร่บอกเล่าให้เจ้าฟัง เจ้ารู้แล้วก็จงอย่าได้แพร่งพรายต่อไปอีก

ข้านั้นยิ่งมองแม่นางหลีเดี่ยคราใดยิ่งเห็นนางงดงามจับใจข้านัก ยังคิดขอร้องอาโอ๊คให้หลีกทางให้ข้าก่อนเพราะข้านั้นแก่แล้ว จากนั้นหวังไหว้วานเจ้าให้เป็นพ่อสื่อสักครั้ง

เสียดายมารู้ว่านางมีคู่หมายแล้ว จึงได้แต่เพียงคิดมิอาจตอแย แต่ถึงอย่างไร คนต่ำต้อยเยี่ยงข้าได้มีสิทธิวาดฝันตามใจปรารถนา เพียงแค่นี้ก็นับว่าสุขยิ่งแล้ว

สาส์นนี้ข้าต้องลักลอบขีดเขียนในยามค่ำคืนภายใต้แสงจันทร์ที่สาดส่องผ่านหน้าต่างเข้ามาในห้องนอนข้า

นี่ก็ใกล้เวลายามสาม ข้าคงต้องรีบเข้านอนแล้ว อีกครู่หนึ่งจะมีทหารผ่านมาตรวจตราในหมู่บ้าน หากถูกพวกมันจับได้ว่าติดต่อกับเจ้า ข้าคงมีภัยถึงชีวิต ถ้ายังไงเจ้าอ่านจบแล้วก็ขอให้ทำลายมันเสีย ไว้วันหน้าข้าจักเขียนมาใหม่

พี่น้องเราล้วนคิดถึงเจ้ายิ่งนัก หวังว่าได้กลับมาพบกันในเร็ววัน ยังฝากบอกให้เจ้าดูแลสุขภาพด้วย…

วโรทาห์: 1 ตุลาคม 2550

Tuesday, October 2, 2007

สะพรั่งผู้คั่งแค้น

๏ โอ้สะพรั่ง คั่งแค้น มันแสนคลั่ง
จะลุกนั่ง ยังแค้น มันแสนเข็ญ
เมื่อผบ. ทบ. ก็กระเด็น
ไม่ได้เป็น ผบ. มันท้อแท้
๏ ถือว่าเป็น รุ่นพี่ มาซี้ซั้ว
นึกว่ากลัว หรือไง ไอ้บังแหล
เดี๋ยวฟันศอก ตอกลง ตรงหน้าแง
เอาให้แถ ไถกลิ้ง เป็นกิ้งกือ
๏ ร่วมเสี่ยงเป็น เสี่ยงตาย ทำลายชาติ
อาละวาด เผาเมือง จนเลื่องชื่อ
ถึงถูกด่า จนอ่วม ยังร่วมมือ
กลับไม่ซื่อ ต่อกัน มันช้ำทรวง
๏ อย่าหาว่า งั้นงี้ เลยพี่ยุทธ
พี่ก็สุด เฉื่อยชา เหมือนหมาง่วง
เรื่องแค่นี้ ให้น้อง ต้องตามทวง
ไม่นึกห่วง น้องพรั่ง จะคลั่งตาย
๏ เรื่องบนเขา ยายเที่ยง มันเลี่ยงยาก
คงลำบาก พี่ยุทธ ต้องมุดหาย
เป็นฤาษี กลิ้งกลอก ทำออกลาย
แง้มตะกาย ฝาโลง มาโก่งคอ
๏ ต้องแป๊ะลิ้ม คนนี้ ไม่ซี้ซั้ว
ถึงจะมั่ว อย่างไร ยังใช้ปร๋อ
ขอให้มัน มียัด อย่าขัดคอ
ถ้าได้ล่อ ซิงซิง มันยิ่งฮา
๏ คราวนี้พัง บังแย่ ถึงแน่นิ่ง
กูจะยิง ให้กลิ้ง เหมือนยิงหมา
ให้สงค์สุ่น ฟันดำ ขย้ำคา
ให้บักห่า บันวิด มันขวิดลึงค์
๏ ไอ้ผีแขก คราวนี้ มึงซี้แน่
กูจะแหย่ ให้หลับ แล้วจับขึง
เอาตะปู เจ็ดดอก มาตอกตรึง
คราวนี้มึง ตายแน่ ไอ้แม่เฮ็ด

วโรทาห์: ๒ ตุลาคม ๒๕๕๐

Saturday, September 29, 2007

นายกฯในดวงใจ

๏ ตะวันลับขอบฟ้า หมู่นกกา กลับรังนอน
ฝืนหลับยามพักผ่อน ใจอาวรณ์ ถวิลหา
นายกฯในดวงใจ มิทันไร มาไคลคลา
สุดแสนเวทนา ต้องร้างลา พาคนึง
๏ ป่านนี้ท่านคงเศร้า เหมือนดั่งเรา เฝ้าคิดถึง
เย็นค่ำพร่ำรำพึง ไม่รู้เห็น เป็นไฉน
เคยทุกข์สุขร่วมกัน บัดนี้พลัน มลายไป
คิดแล้วอยากร้องให้ อีกเมื่อไหร่ จะพบกัน
๏ พวกเราชาวรากหญ้า ได้ลืมตา ก็เพราะท่าน
นายกฯเราคนนั้น ที่เอื้อเฟื้อ คอยเกื้อหนุน
ตรากตรำสู้ทำงาน เพราะมีท่าน คอยค้ำจุน
แปลงทรัพย์นับเป็นทุน ให้คิดอ่าน ทำการค้า
๏ โอ้ใครไหนกันเล่า ที่คอยเฝ้า อารักขา
เจ็บป่วยช่วยเยียวยา ได้รักษา แม้ขัดสน
ดีกว่าพวกคนชั่ว ไม่เห็นหัว คนยากจน
ยามเจ็บยังต้องทน กระเสือกกระสน จนสุดฤทธิ์
๏ นำพาลูกหลานไทย ให้ห่างไกล ยาเสพย์ติด
คนขายท่านเอาผิด ส่วนคนติด ช่วยรักษา
ปราบปรามอิทธิพล คนขี้ฉ้อ พ่อค้ายา
ทรชนไม่หาญกล้า มาบีฑา คนหากิน
๏ ผลิตภัณฑ์หนึ่งตำบล ขายผลิตผล คนท้องถิ่น
หักกลบลบหนี้สิน ยังเหลือเก็บ พอบรรเทา
ลืมตาอ้าปากได้ ไม่ต้องไป กู้ยืมเขา
ส่งเสียลูกหลานเรา เผื่อเติบใหญ่ ได้พึ่งพา
๏ ความหวังมาพังสิ้น เพราะกังฉิน ริษยา
จิตใจไร้เมตตา กระไรหนอ ช่างก่อกรรม
สุดรักสุดบูชา ไม่นึกว่า จะกล้าทำ
เจ็บนี้จะขอจำ สุดแสนช้ำ ระกำใจ
๏ พักผ่อนก่อนนะท่าน เรื่องวันวาน ให้ผ่านไป
ตราบถึงซึ่งวันใหม่ เราคงได้ มาพบกัน
ขอพระจงคุ้มครอง ช่วยปกป้อง จากผองพาล
จนกว่าถึงวันนั้น วันรากหญ้า ตั้งตารอ...

วโรทาห์: ๒๘ กันยายน ๒๕๕๐

Thursday, September 27, 2007

นวมทอง ไพรวัลย์



แม้เราไม่เคยรู้จักกัน แต่ต่างผูกพันด้วยจิตวิญญาณประชาธิปไตย
จึงรู้สึกเป็นยิ่งกว่าญาติสนิท
แม้เราไม่อยากให้ท่านจากไป แต่เราเคารพในการตัดสินใจของท่าน
ตามครรลองแห่งประชาธิปไตย
เราไม่อาจปล่อยให้ท่านจากไปอย่างอ้างว้าง แต่เราไม่ห้าวหาญเยี่ยงท่าน
จึงได้แต่เรียงร้อยถ้อยกวีเป็นบทกลอนสรรเสริญวีรกรรมของท่าน
จารึกไว้ในปฐพี ตราบฟ้าดินสลาย...

วโรทาห์: ๒๔ กันยายน ๒๕๕๐

๏ นวมทองผู้ผ่องผุด เอกบุรุษ ผู้กล้าหาญ
ทายท้าเผด็จการ เพราะใจรัก ในศักดิ์ศรี
นวมทองคือทองแท้ ไม่เคยแพ้ แก่อัคคี
แม้ชีพยังยอมพลี เพื่อประชา ธิปไตย

๏ ดวงใจอันกร้าวแกร่ง นั้นกล้าแข็ง ดุจเหล็กไหล
ฝ่าฟันภยันตราย ไม่ยอมแพ้ แม้ถูกหยัน
วงศ์วานอันยิ่งใหญ่ จารึกไว้ คือไพรวัลย์
สู้ศึกไม่นึกหวั่น พรั่นระย่อ ต่อไพรี

๏ แท็กซี่ก็มีศักดิ์ ยังรู้รัก ในศักดิ์ศรี
ใครหาญมาย่ำยี ต้องกำราบ ให้ราบสิ้น
เลื่องชื่อระบือไกล จารึกไว้ ในแผ่นดิน
ควรคู่อัศวิน ของประชา น่าเชิดชู

๏ ชีพนี้ได้พลีไว้ เป็นแรงใจ ให้ต่อสู้
ลูกหลานจงรับรู้ ความขื่นขม ระทมไหม้
ภูมิหลังอันฝังลึก ความรู้สึก ที่ฝังใจ
ปวงชนต้องยิ่งใหญ่ ไม่ให้ใคร มาลบหลู่

๏ ผู้กล้าพลันลาลับ ไม่หวนกลับ มารับรู้
วิญญาณล่องลอยสู่ สรวงสวรรค์ บนชั้นฟ้า
กำเนิดยังภพใหม่ ในหมู่เทพ ทวยเทวา
เสรีที่ใฝ่หา ก็สุกปลั่ง มลังเมลือง

๏ หลับเถิดผู้แกร่งกล้า ปวงประชา ยังหนุนเนื่อง
ขบกันเป็นฟันเฟือง จะรุกรบ ไม่หลบลี้
นวมทองเป็นแรงใจ ให้หาญสู้ ผู้ย่ำยี
เผด็จการผู้กดขี่ ต้องพ่ายแพ้ แก่นวมทอง

วโรทาห์: ๑๓ กันยายน ๒๕๕๐



Sunday, September 23, 2007

ยอดหญิงในดวงใจ

๏ มือหนึ่งอุ้มลูกน้อย อีกมือค่อย ประคองลูบ
ซบลงประจงจูบ แล้วกล่อมขับ จนหลับผล็อย
วางลูกแล้วหยิบดาบ จะออกปราบ พวกคนถ่อย
หญิงไทยไม่เคยถอย เข้าโรมรัน ไม่หวั่นเกรง

๏ ศักดิ์ศรีสตรีไทย ไม่ยอมให้ ใครข่มเหง
อุ้มลูกผูกกระเตง ยังออกศึก อย่างฮึกหาญ
หน้าไหนไม่นึกพรั่น ขอฟาดฟัน เผด็จการ
แผ้วทางให้ลูกหลาน ได้เติบใหญ่ ในแผ่นดิน

๏ ลูกรักคือดวงใจ ทั้งรักใคร่ ใฝ่ถวิล
ห่วงหาเป็นอาจิณ เฝ้าปกป้อง ประคองขวัญ
เคียงบ่ากับสามี คอยเป็นศรี คู่ชีวัน
แนบข้างไม่ห่างกัน ดุจจันทรา คู่อาทิตย์

๏ ยอดหญิงในดวงใจ พธูไทย ในดวงจิต
อิงแอบแนบสนิท เป็นคู่ครอง ในห้องหอ
ภัสดาถึงคราเศร้า เธอเคลียเคล้า เฝ้าพะนอ
ทักษิณยังระย่อ ยอประณต พจมาน

วโรทาห์ (๒๐ กันยายน ๒๕๕๐)

Wednesday, September 19, 2007

ชื่นชมผลงานหนึ่งขวบปี

วันเวลาผันผ่านรวดเร็วน่าใจหาย พริบตาเดียววันที่สิบเก้าเดือนเก้าก็เวียนมา
บรรจบอีกครั้ง นับเป็นวันครบรอบหนึ่งขวบปีที่เจ้าได้เสียสละอย่างยิ่งใหญ่ นำพา
พี่น้องของเจ้าเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายเข้าปล้นเอาอำนาจไปจากมือของพวกข้า เหตุ
เพราะพวกข้าไม่ดีเอง ไร้ความสามารถแยกแยะดีชั่ว ถึงกับใช้อำนาจที่มีอยู่น้อยนิด
ไปเลือกเอาคนไม่ดีมาปกครองบ้านเมือง จึงต้องลำบากพวกเจ้าออกมาปล้นชิง
บุญคุณครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก แม้ตายยังมิอาจชดใช้

พูดไปแล้วละอายใจนัก แม้อยากขอบคุณคนที่เชื้อเชิญเจ้ามาก็ยังมิอาจรู้ได้ว่ามัน
เป็นผู้ใดกันแน่ ถึงถามเจ้า เจ้าก็คงมิยอมปริปาก เมื่อวันแรกๆยังเห็นพวกมันโผล่
หน้ามาออกรับกันมากมาย คาดไม่ถึงพอพวกข้ากล่าวชมเชยไปหลายคำกลับมุดหัว
หนีหายไปหมดสิ้น สุดท้ายทุกคนปฏิเสธเสียงลั่นไม่มีส่วนเกี่ยวพันกับเจ้าแม้แต่
น้อย จึงคาดว่าคนพวกนี้คงเป็นแค่พวกแอบอ้าง เสียดายที่ตัวจริงกลับไม่โผล่
ออกมารับความขอบคุณ แต่เอาเถอะ ไหนๆก็มาถึงขั้นนี้แล้วจะไม่ชื่นชมผลงาน
ของเจ้าเลยก็คงไม่ได้ เจ้าสู้ตรากตรำมาหนึ่งปีเต็มย่อมต้องมีผลงานอยู่บ้าง แม้ไม่มี
มากยังต้องมีน้อย ไม่ว่ายังไงวันนี้ต้องขอบังอาจเอ่ยถึงสักสองสามคำ

ก่อนอื่นมิอาจไม่ชมเชยน้ำใจของเจ้า หลังจากทำงานสำเร็จลุล่วง ยังมีน้ำใจคิดราคา
กันเอง ส่งเทียบมาเรียกเก็บเงินเพียงไม่กี่พันล้านอีแปะเป็นค่าใช้จ่ายในการเข้า
ปล้น หยาดเหงื่อแรงกายของพวกข้า ใช้จ่ายไปเพียงแค่นี้นับว่าเล็กน้อยยิ่งนัก เทียบ
ไปแล้วความเสียสละของพวกเจ้านับว่าสูงส่งดังขุนเขา พวกข้ายังมิอาจเทียบได้
เพียงแค่เศษเสี้ยวธุลีดิน นึกแล้วยังรู้สึกเกรงใจจริงๆ คิดว่าการทำงานครั้งนี้พวกเจ้า
คงขาดทุนไปไม่น้อย ถ้ายังไงขอให้ถือเสียว่าขาดทุนวันนี้เพื่อวันข้างหน้า ในเมื่อ
เจ้าคิดราคาไม่แพงวันหน้ายังไงยังต้องอุดหนุนใช้บริการพวกเจ้าอีก

พูดถึงผลงานด้านสังคม หนึ่งขวบปีที่ผ่านไปนับว่ามิเสียแรงเปล่า ว่าไปแล้วเจ้าก็มี
ผลงานไม่น้อย หากมิใช่เพราะเจ้าไหนเลยพวกข้าสามารถหยั่งรู้ว่ากาขาวเป็นเช่น
ไร คาดไม่ถึงจริงๆว่า แท้ที่จริงแล้ว พวกมันกลับเป็นเพียงนกกาตัวหนึ่งที่ย้อมขน
เป็นสีขาวราวเกล็ดหิมะ เพียงเลียนแบบท่าทางกรีดกรายดั่งพญาหงส์ก็สามารถตบ
ตาพวกข้ามาได้หลายสิบปี ช่างน่าเลื่อมใสนัก หากมิใช่เพราะพวกมันออกมาโลด
เต้นช่วยเหลือเจ้าจนสีขนหลุดร่วงมองเห็นสีดำน่าเกลียดแล้ว พวกข้าใยมิใช่ยังคง
โง่งมอยู่ต่อไป

คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ หากมิใช่พวกเจ้าเปิดโปงออกมาไหนเลยพวกข้าสามารถหยั่งรู้
ได้ว่าใครคือผู้ทรยศที่เกาะติดอยู่ข้างกายพวกข้ามาเนิ่นนาน เจ้ายังทำให้พวกข้าได้
รับรู้รสชาดของการถูกหักหลังจากคนข้างกายว่ามันเจ็บปวดสาหัสเพียงใด
ยิ่งกว่านั้นยังทำให้พวกข้าได้ลิ้มรสความอยุติธรรมที่ขมขื่นกว่ายาขมนับหมื่นๆเท่า
ใครเลยคาดคิดว่าบ้านเมืองยังมีตุลาการที่ไร้ความเที่ยงธรรมได้ถึงเพียงนี้

ยังมีคนคนหนึ่งที่เจ้าห้ามเอ่ยนามหากมิประสงค์จะประณามมัน พวกเจ้าพร่ำบอก
ต่อพวกข้าว่ามันคดโกงทั้งโคตร เสียงป่าวร้องทั่วทั้งปฐพีไหนเลยผู้คนมิหวั่นไหว
ใครเลยมิเคลือบแคลงคนผู้นั้น เจ้าถึงกับแต่งตั้งจอมมารอัปลักษณ์ทั้งห้าไป
ตรวจสอบมันอย่างป่าเถื่อน ใช้วิธีต่ำช้าสามานย์ไม่คำนึงถึงความยุติธรรม อีกห้า
มารนั้นก็ยังมีความแค้นฝังลึก เนื่องเพราะบิดามารดาของพวกมันถูกคนผู้นั้นเข่น
ฆ่าตายทั้งโคตร สุดท้ายตรวจสอบมาจนครบขวบปียังไม่พบหลักฐานความผิด
เด่นชัดแม้สักหนึ่งชิ้น นึกไม่ถึงว่า ที่แท้กลับเป็นอุบายรับรองความบริสุทธิ์ให้แก่
คนผู้นั้น ทำให้พวกข้าหายเคลือบแคลงจนหมดสิ้น นับว่าเจ้าช่างลุ่มลึกนัก

หันมามองด้านการเมือง ผลงานของเจ้ายิ่งน่าเลื่อมใส ใครเลยคาดคิดว่าเคล็ดวิชา
สมานฉันท์พิฆาตมันของเจ้าจะทรงอานุภาพ ทำให้การเมืองชัดเจนได้ถึงเพียงนี้
ก่อนนี้จุดยืนของข้ายังคลุมเครือ ข้าพร้อมที่จะเลือกทุกพรรคที่เสนอนโยบายตรง
ใจข้า มาบัดนี้ข้ากลับไม่คลุมเครืออีกต่อไป ข้าพร้อมที่จะไม่เลือกพรรคใดเลย
นอกจากไทรักไท แม้เจ้าจะหาเหตุยุบพรรคไปแล้วก็จริงแต่ถึงอย่างไรวิญญาณไท
รักไทก็ยังคงอยู่ในใจของพวกข้า ขอเพียงรู้ว่าพรรคใดรองรับจิตวิญญาณไทรักไท
พวกข้าก็จะเลือกพรรคนั้นโดยมิสนใจว่ามันชื่อเรียงเสียงไร จึงขอบอกไว้ว่าเจ้าก็
อย่าได้ตามรังควานนักเลย พี่น้องของข้ามีอยู่นับสิบล้าน ถูกเจ้าตีกระหน่ำจน
รวมตัวกันเหนียวแน่นกลายเป็นพลังมหาศาล นี่ย่อมไม่ใช่เรื่องล้อเล่น อย่างน้อยก็
ได้ทำให้พวกเจ้าอกสั่นขวัญแขวนมาแล้วเมื่อวันลงประชามติจอมปลอมที่ผ่านมา
หากเจ้าปิดกั้นจนไม่มีพรรคให้เราเลือก เราก็ขอไม่เลือกพรรคใดเลย

พูดถึงผลงานด้านเศรษฐกิจ ช่างน่าอัศจรรย์นัก เคล็ดวิชาหั่งเช้งเพียงพออันลือลั่น
ของเจ้าถึงกับสั่นฟ้าสะเทือนดิน คาดไม่ถึง ก่อนนี้พวกข้าถึงกับกระเสือกกระสน
หากินให้ครบสามมื้อนับว่ามิรู้จักเพียงพออย่างยิ่ง เมื่อมารับการถ่ายทอดกระบวน
ท่าสองมื้อยื้อชีวิตจึงค่อยสุขสบายขึ้น บัดนี้พวกข้าไม่ต้องดิ้นรนมากแล้ว เป็น
เพราะหันมากินข้าวคลุกน้ำปลาเพียงวันละสองมื้ออย่างเพียงพอ ยิ่งมาถึงวันนี้
ถึงกับมีพวกเราบางส่วนก้าวหน้าไปถึงขั้นฝึกปรือท่าไม้ตายมื้อเดียวเหนี่ยว
วิญญาณแล้ว ช่างน่ายินดีนัก

นึกไปแล้วก็ใจหาย เหตุเพราะอีกไม่นานเจ้าก็ต้องคืนอำนาจกลับมาให้พวกข้าไป
เลือกตั้ง ยังอดขอบใจไม่ได้ที่เจ้าไม่คิดทอดทิ้งพวกข้า เพียงแค่ถอยไปชักใยอยู่
เบื้องหลัง เพราะไม่อาจวางใจว่าพวกข้าจะสำนึกได้หรือยัง ถ้าไม่เป็นการรบกวน
จนเกินไป หลังเลือกตั้งยังคิดว่าจะขอร้องให้เจ้ามาปล้นพวกข้าอีกสักครั้ง หากมี
โอกาสให้พวกเจ้าสร้างผลงานอีกสักครึ่งปีคงเพียงพอให้แยกแผ่นดินออกเป็น
เสี่ยงๆ ราษฎรต่างแยกย้ายไปอยู่อาศัยในแผ่นดินที่ตัวเองชอบ ใยมิใช่เรื่องน่ายินดี
เล่า ยิ่งนึกยิ่งอยากให้ถึงวันนั้นเร็วๆ

ข้าคิดไม่ออกจริงๆว่ายังมีสิ่งใดน่ารื่นรมย์ไปกว่านี้อีก…

วโรทาห์ (๑๙ กันยายน ๒๕๕๐)