Thursday, August 21, 2008

เมื่อม็อบมัฆวาน..กลายเป็นอดีต

วันก่อนนี้อยู่ๆไม่รู้ผีเข้ายังไง ดันนึกอยากไปเยี่ยมเยียนชุมชนสะพานมัฆวานขึ้นมาดื้อๆ จะว่าจิตใต้สำนึกมันบอกก็ไม่น่าจะผิด ว่าถ้าไม่รีบไปดูใจกันตอนนี้ ต่อไปคงไม่ได้เห็นหน้ากันอีกทั้งชาติ สำหรับม็อบประวัติศาสตร์ ที่กู้ชาติจนแทบจะล่มจม เรื่องสำคัญอย่างนี้ ยังไงก็ต้องจารึกไว้จนชั่วลูกชั่วหลาน และอีกหลายๆชั่ว จนไม่รู้ว่าจะชั่วยังไง

รวดเร็วปานสายฟ้าแลบ เพียงแค่คิดก็มายืนเต๊ะจุ๊ยอย่างเหมาะเหม็ง อยู่บนฟุตบาทริมถนนราชดำเนิน ตรงบริเวณที่เป็นใจกลางม็อบพอดิบพอดี มองไปเห็นกระทรวงศึกษาฯ ลานพระรูป แล้วก็สะพานมัฆวานครบสูตร แต่เอ๊ะ..แล้วเวทีมันไปตั้งอยู่ตรงไหนหว่า พยายามหาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ

ช่วงนั้นเป็นเวลาแดดร่มลมตก ได้เวลาโจราฤกษ์รวมพลคนกู้ชาติพอดี แต่วันนี้ไม่รู้เป็นบ้าอะไรไป ถึงได้หายหัวกันจ้อย ขนาดกวาดสายตาไปรอบๆ เหลียวซ้ายแลขวายังไม่เห็นหมาซักกะตัว ตอนแรกก็นึกว่ามาผิดที่ซะแล้ว แต่หลังจากยืนทบทวนอยู่หลายกระทอก ก็แน่ใจว่าตรงนี้เลย ยังไงก็ไม่ผิด

ขณะที่กำลังยืนเหวออย่างกับโดนผีหลอก สายตาก็แว๊บๆเห็นว่าทางด้านขวามือ มีรถคันหนึ่งคลานมาไม่ช้าไม่เร็ว พอหันไปมองเต็มๆตา ถึงได้ใจชื้นขึ้นมาหน่อย เพราะว่าโชเฟอร์ชายวัยกลางนั่น โพกหัวกู้ชาติเด่นหรามาแต่ไกล อารามดีใจเลยโดดผลุงลงไปยืนบนพื้นผิวจราจร แล้วโบกสองมือไขว้เหนือหัว แบบที่เขาโบกให้สัญญาณเครื่องบิน แต่จริงๆแล้วพวกโบกสิบล้อก็ทำแบบเดียวกัน

เจอลูกบ้าเข้าไปไม้นี้ เล่นเอาชายคนนั้นถึงกับตาเหลือก รีบก้มหน้างุดๆ จัดการกับเครื่องห้ามล้ออย่างเอาเป็นเอาตาย แต่ดูเหมือนว่าท่าจะไร้ผล ส่ออาการว่า มันฟังกันซะเมื่อไหร่ ขนาดแกลงทุนเบรคจนตัวโก่ง ยังไม่มีทีท่าว่าจะเอาอยู่ นอกจากความเร็วไม่ได้ชะลอลงซักกะติ๊ดแล้ว ยังลากจี้เข้ามาหาผมอย่างไม่ปราณีปราศัย

หะแรกก็นึกว่าแกล้อเล่น เลยยืนล่อเป้าจนมันเข้ามาชิด เรียกว่าใกล้ขนาดได้ยินเสียงหายใจฟืดฟาดของแกแล้ว เพิ่งจะมาเอะใจว่า ท่ามันจะเอาแน่ วินาทีนั้นผมไม่มีทางเลือกอีกแล้ว นอกจากต้องตัดสินใจขั้นเด็ดขาด เผ่นแผล็วเป็นลิงลมกลับขึ้นไปบนฟุตบาทแทบไม่ทัน ถือว่ารอดตายอย่างฉิวเฉียด แค่เส้นยาแดงผ่าสิบหก ก็ว่าได้

รถนั้นยังแล่นกระดื๊บๆผ่านหน้าผมไปอย่างดื้อด้าน กว่าจะหมอบสนิทสิ้นฤทธิ์สิ้นเดชลงได้ ก็ลากสังขารไปอีกไกลโข ทำให้ผมต้องควบปุเลงๆตามไปจนหอบแฮ่กๆ พอเข้าประชิดตัวได้ ดันเกิดอาการเข่าอ่อนขึ้นมาดื้อๆ เมื่อเห็นชายเจ้าของรถ กำลังนั่งเหล่ขวางตามาที่ผม ทำอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ ลักษณะท่าทางอย่างนี้ ต่อให้เด็กอมมือยังอ่านขาด ว่างานเข้าแน่ๆ

ผมทำเป็นใจดีสู้เสือ ประนมมือไหว้อย่างนอบน้อมสุดๆเท่าที่จะทำได้ แต่ไม่วายสายตาซุกซนก็ซอกแซกไปเห็นข้อความ ที่พิมพ์หราบนหน้าอกเสื้อยืดของแก อ่านได้ใจความว่า "ลูกจีนกู้ชาติ" ตัวอักษรสีแดงคร่ำคร่าบนพื้นสีเทาหม่น เอ๊ะ..ไม่ใช่สิ สีเดิมน่าจะเป็นสีขาว แต่มันเก่าโคตรๆจนเห็นเป็นสีซกมก อย่างกับไปคลุกขี้หมามาเป็นชาติ

"สวัสดีคร้าบ..ลุง" นอกจากไหว้แล้วยังเอ่ยทักตามธรรมเนียม ด้วยน้ำเสียงที่พยายามให้อ่อนหวานสุดๆ เผื่อว่าแกจะใจเย็นลงได้บ้าง แต่ที่ไหนได้ เหมือนราดน้ำมันลงไปในกองเพลิงยังไม่ปาน เสียงตอบรับที่สวนมากระแทกแก้วหู ทำเอาผมถึงกับสะดุ้งโหยง

"บ้านแกเรียกชายหนุ่มหน้าตาดี ในวัย 30 ต้นๆว่าลุงเหรอ !!!" เสียงนั้นทั้งห้าวและห้วน ทำเอาผมถึงกับอึ้งกิมกี่ ได้แต่แอบเถียงในใจเงียบๆว่า มันหน้าตาดีตรงไหนวะ!

อีกอย่าง ใบหน้าที่ยับยู่ยี่ อย่างกับไปถูกฝูงการุมกระทืบมาอย่างนั้น แล้วจะไปรู้ไม๊ว่า 30 ต้นๆ ถ้าจะวิเคราะห์กันตามหลักวิชา ก็ต้องว่ากันที่ 60 ปลายๆ น่าจะใกล้เคียงกว่า ดังนั้น ที่เรียกว่าลุงนี่ ต้องถือว่าลดหย่อนกันสุดๆแล้ว ยังดีที่ไม่ปากไวไปเรียกว่าปู่เข้า ไม่งั้นป่านนี้ ไม่ใครก็ใครคงต้องลงไปนอนตีแปลง รอให้ปอเต๊กตึ๊งมาแย่งเก็บศพกับร่วมกตัญญูแหงๆ

"แหม..ล้อเล่งอ้ะ..เฮี่ย!" ผมรีบพลิกสถานการณ์จากรับเป็นรุก เปลี่ยนมาใช้คำเรียกแบบกลางๆว่า"เฮีย" ซึ่งคิดว่าน่าจะปลอดภัยที่สุดแล้ว แต่กระนั้นก็ยังไม่วางใจเสียทีเดียว จึงต้องสำทับอีกชั้นหนึ่ง ด้วยการควักผ้ากู้ชาติออกมาโพกหัว

แล้วก็ได้ผลจริงๆ มันเวิร์คอย่างไม่น่าเชื่อ เฮียแกเปลี่ยนจากหลังเท้ามาเป็นหน้ามือทันทีทันควัน หน้ามู่ทู่เมื่อกี้นี้หายวับไปกับตา เปลี่ยนมาเป็นหน้าอาแปะใจดี ที่ฉีกยิ้มกว้างจนเห็นฟันหลอ พาลให้นึกถึงอากงที่นอนตายตาค้าง เพราะว่าลูกหลานไม่เหลียวแล

"อ๋อ..ที่แท้ก็คนกันเอง มีอะไรว่ามาเลย" เออแน่ะ..พูดดีก็เป็นเหมือนกัน ฟังพันธมิตรเอื้อนเอ่ยมธุรสวาจาแล้วมันจั๊กกะจี้หูพิลึก แทบจะเป็นเรื่องที่เเหลือเชื่อเลยก็ว่าได้ พอๆกับเห็นหมาพูดภาษาคน ยังไงยังงั้น

แต่อย่างน้อยก็ถือได้ว่าสถานการณ์คลี่คลายไประดับหนึ่ง น้ำเสียงอย่างนี้แสดงว่า น่าจะพูดภาษาคนกันรู้เรื่อง ผมเลยถือโอกาสลามปาม ลากชายหนุ่มหน้าแก่ ที่ทราบชื่อในภายหลังว่าเฮียกวง ลงมานั่งคุยกันข้างถนน ล้วงควักจนได้ความว่า เวทีมัฆวานเขาเลิกไปตั้งกะปีมะโว้แล้ว

พูดอย่างนี้ ถ้าเชื่อก็_วายหละวะ เพราะว่าเมื่อวานยังเห็นด่าคนอยู่แหม็บๆ แล้วจะเป็นไปได้ยังไง แค่ข้ามวัน จะมาบอกว่าเลิกไปแล้วตั้งหลายปี คราวนี้เลยต่างคนต่างพูดไม่รู้เรื่อง เถียงกันหน้าดำหน้าแดง แทบว่าจะฆ่ากันตาย

ก่อนที่การเสวนาจะเลยเถิด ไปถึงขั้นฟาดปากตัดสินกันให้รู้ดำรู้แดง เฮียกวงก็ไปหยิบหนังสือพิมพ์บนรถมากางหรา แล้วชี้ให้ผมดูภาพคุณทักษิณกำลังทำพิธีตัดริบบิ้น แถมด้วยพาดหัวตัวไม้ใหญ่เบ้อเริ่มเทิ่มว่า "ท่านนายกฯทักษิณ ทำพิธีเปิดรถไฟฟ้าสายสีชมพู" เออแน่ะ! พาดหัวสุภาพซะจนไม่น่าเชื่อว่า เป็นหนังสือพิมพ์ในประเทศไทย

"เห็นไม๊ ทักษิณมันซื้อประเทศไทยไปเรียบร้อยแล้ว" น้ำเสียงเฮียแกแสดงอาการลิงโลดว่าเป็นผู้ชนะ เมื่อเห็นว่าผมจำนนด้วยหลักฐาน ออกอาการเถียงไม่ขึ้น ได้แต่นั่งหัวหมุนติ้วๆ

"เฮ้ยเดี๋ยว นี่มันหนังสือพิมพ์เก่าหรือเปล่า เฮี่ย" ผมพยายามดิ้นสู้เฮือกสุดท้าย เมื่อคิดได้ว่าหมอนี่น่าจะอำแน่

แต่พอไล่นิ้วมือไปที่หัวหนังสือพิมพ์เพื่อดูวันที่ผลิตเท่านั้นแหละ กลับกลายเป็นตัวผมเองที่หัวหมุนหนักไปกว่าเก่า เมื่อเจอกับข้อความว่า...

นสพ.จำหน่ายน้อยที่สุดของประเทศ
ไถยรัฐ
ปีที่ 63 ฉบับที่ 19927 วันอาทิตย์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ.2555 ราคา 100.00 บาท

วโรทาห์: 21 ส.ค.51

@@@ โปรดติดตามตอนต่อไป @@@

2 comments:

Anonymous said...

เป็นบทความที่ทันสมัยมากเลย
555 ขอเป็น พ.ศ.2552 ได้ไหมค่ะ

Anonymous said...

พวกซ้ายจัดนี่ ดูเหมือนว่าจะเป็นพวก อ.ใต้ ที่สิงอยู่ตุลาไทยหรือเปล่าครับ