Thursday, December 25, 2008

นายกฯกาลกิณี ไปถึงไหน ซวยถึงนั่น

กลายเป็นตัวกาลกิณีไปเป็นที่เรียบร้อย สำหรับท่านนายกฯอภิสัทธิ์.. ไม่ใช่สิ บารมีท่านซะขนาดนั้น คงต้องเรียกว่า พณฯ อภิมหาสัทธิ์ มันถึงจะถูก ก็บอลเขาแข่งกันดีๆ ผ่านเข้ารอบชิงมาฉลุย ไม่มีปัญหาแท้ๆ จู่ๆลูกเขยยายเนียน ดันฉวยโอกาสมาหาเสียง เข้าไปช่วยลุ้นในสนามราชมังคลา นัดแรกก็พาซวยกันไม่เลิก เจ๊งชัยกันระเนระนาด

ไม่ เชื่อก็ต้องเชื่อ ตั้งแต่ปล้นตำแหน่งนายกฯมาได้ ลางร้ายก็เริ่มปรากฎให้เห็นจะๆกะตา อย่างวันแรกที่เข้าทำเนียบ ยังไปทำซวยตอนไหว้ศาลพระภูมิ งานนั้นเล่นเอาช้างของพระภูมิท่าน ตกแตกชิบหายหมด

นี่ขนาดว่า ก่อนแข่งฝ่ายไทยฟอร์มดีกว่าเวียตนามเยอะ เรียกว่าเป็นต่ออยู่หลายขุม ถ้าเป็นมวยก็ชนะกันแบเบอร์ เชื่อโอเลี้ยงกินได้ เดี๋ยวมีคนมาตามจ่าย แต่ที่ไหนได้ ไม่รู้มันไปเชียร์ท่าไหน แค่ครึ่งแรกฝ่ายไทย ก็รับประทานไข่ไป 2 ฟอง เล่นเอาพูดไม่ออกบอกไม่ถูกไปตามๆกัน

จะไม่เอาก็ไม่ได้ เพราะมันเล่นเลี้ยงเดี่ยว เข้ามายิงยัดใส่แสกหน้ากันดื้อๆ ชนิดที่วงการทหารเขาเรียกว่า เป็นภารกิจที่ไม่อาจปฏิเสธได้ ถึงแม้ครึ่งหลัง ฝ่ายโน้นเขาจะคืนกำไรมาให้ 1 ลูก แต่สรุปแล้วก็ยังแพ้หมดรูปอยู่ดี งานนี้เล่นเอาท่านต่อถึงกับวงแตก ต้องชักดาบค่าโอเลี้ยงกันหน้าด้านๆ ก็คนมันไม่มีจ่ายน่ะ จะให้ทำยังไงได้

แต่ ช้าก่อน ถ้าเวียตนามคิดว่าจะคว้าชัยออกไปง่ายๆ แสดงว่ายังรู้จักพี่ไทยน้อยไป งานนี้มีแววว่าจะต้องลุ้นกันถึงฎีกา เพราะจากภาพถ่ายในสนาม แสดงให้เห็นกันตำตา ว่าตอนที่ยิงประตู นักเตะตระกูลเหงียน ดันหันก้นให้คนดู

อะไรไม่ว่า วงการโคตรเซียนกระซิบกระซาบกันให้แซด ว่างานนี้เราเจอไส้ศึกเข้าไปเต็มเปา เพราะรู้ทั้งรู้ว่าทำซวยมาหลายงาน ยังอุตส่าห์เข้าไปนั่งดู นี่แสดงว่าตั้งใจ ยิ่งเมื่อสืบสายสาแหรกไปถึงต้นตระกูล ก็ยิ่งชัดใหญ่ เพราะนายกฯของเราดันสืบเชื้อสาย มาจากตระกูลเหงียนซะได้ มิน่าล่ะ ที่ผ่านมาถึงได้เหงี่ยนน่าดู

ดูบอลไทยแข่งกับเวียตนามแม็ทช์นี้ ทำให้อดนึกย้อนไปถึงคู่กัด ระหว่างประชาธิปัติย์กับไทยรักไทยในอดีตไม่ได้ เพราะว่าเหตุการณ์ตอนนั้นมันก็เหมือนกับตอนนี้ ที่ประชาธิปัติย์เป็นต่อชนิดสุดกู่ เรียกว่าวงการต่อรองไม่ให้ราคากันเลยทีเดียว แต่หลังจากผลการแข่งขันปรากฎออกมา กลับกลายเป็นว่า พรรคแมลงสาบเอง ที่กู่ไม่กลับจนถึงทุกวันนี้

ขนาดว่า ผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการ จัดทั้งม็อบปอบเหลือง ประสานพลังกับพวกกุ๊ยเขียว ขนทั้งระเบิดทั้งปืนออกมาช่วยกันแล้ว ยังเอาไม่อยู่ โดนฝ่ายประชาชนยันเอาหงายเก๋งไปหลายยก ดีที่ว่าเป็นมวยอึดหน้าทน เลยตามตื๊อตามป่วนไม่เลิก จนสุดท้ายมาได้ตาชั่งจับมัดมือชก ถึงได้นั่งเก้าอี้นายกฯ สมกับที่เงี่ยมมานานแสนนาน

เอาเถอะ ไหนๆบอลก็แพ้ไปแล้ว แต่ตัวซวยก็ยังอยู่ดีมีสุข ถ้าจะถือโอกาสนี้ จำไว้เป็นบทเรียนก็คงดีไม่น้อย ในเมื่อบุพการีไม่ได้สอนมา ก็ต้องมาเรียนรู้เอาเอง กีฬามีแพ้มีชนะ พลิกคว่ำพลิกหงายกันได้เป็นธรรมดา แต่ถึงยังไงก็ต้องอยู่ในกติกา ไม่ใช่ถือกติกูมันยันเต

เป็นนักกีฬา มันต้องมีสปิริต ยามชนะก็อย่าออกอาการลิงโลดให้มากนัก ประเภทดีใจจนต้องส่งเอสเอ็มเอส ไปโพนทะนาให้ชาวบ้านรู้ว่า ข้าได้เป็นนายกฯแล้ว มันก็เกินไป ยิ่งยามแพ้นี่ยิ่งสำคัญใหญ่ นักกีฬาที่ดี มันต้องแพ้ให้เป็น ไม่ใช่แพ้แล้วพาลพาโลโฉเก เผาบ้านเผาเมืองจนวอดวาย วินาศสันตะโรไปหมด

ที่สำคัญอีกอย่าง ต้องเรียนรู้ที่จะหักห้ามความอิจฉา อย่าให้โจ่งแจ้งออกมานอกหน้าจนเกินงาม จะฝืนใจยังไง ก็ต้องแสดงความยินดีกับผู้ชนะให้ได้ ไม่ใช่ยืนหน้ามุ่ย ปล่อยให้ผู้อาวุโสกว่า ต้องเดินมาหาเพื่อขอจับมือ..นี่ถือว่าสอนให้ฟรีๆ ไม่คิดค่ายกครูเหมือนอีตาจรัญนั่น ก็เพราะไม่อยากให้เป็นนายกฯเถื่อนๆไปอย่างนี้ ถือซะว่า...

ทำหน้าที่แทนพ่อแม่นายกฯซักครั้ง มันก็เก๋ไปอีกแบบ

วโรทาห์: 25 ธ.ค. 51

Monday, December 22, 2008

ระวังให้ดี..รัฐบาลนอมินีอำมาตย์ จะพาถอยหลังเข้าคลอง

"ยาวเลยลูกเพ่..ยาวเลย..ยาว..ยาว..ยาว" เสียงไอ้จ้อนเด็กท้ายรถ 2 แถว ตะโกนโหวกเหวก พร้อมกับโบกไม้โบกมือ ส่งสัญญาณให้ลูกพี่ ที่กำลังถอยรถเข้าซอย เป็นอารมณ์เดียวกับไอ้มาร์ค ที่กำลังส่งสัญญาณให้ลูกพี่อำมาตย์ ซิ่งเรือประชาธิปไตย ถอยหลังยาวเข้าคลอง ชนิดกู่ไม่กลับ กว่าจะออกมาได้อีกที ยังไม่รู้ว่า จะต้องล้มตายกันอีกเท่าไหร่

เสร็จสมอารมณ์หมายกันซะที หลังจากที่ตุลาการยาสั่ง พากันตากหน้าออกมาตามล้างตามเช็ด ไล่บี้จนรัฐบาลนอมินีประชาชน แตกกระสานซ่านเซ็น ปริร้าวไปหมด เป็นการเปิดประตูอ้า่ซ่า ให้ผีห่าซาตานเข้าแทรกแซง จนในที่สุดก็สามารถยัดเยียด รัฐบาลนอมินีอำมาตย์ เข้ามาเสียบแทนที่จนได้

ดังนั้น ถ้าจะเรียกว่ารัฐบาลผีจับยัด ก็ไม่น่าจะเกินเลยไปซักเท่าไหร่

ในรอบร้อยปีหรืออาจจะนานกว่านั้น จะหานายกฯที่ทำให้ชาวบ้าน กระอักกระอ่วนใจได้มากถึงเพียงนี้ คงไม่ง่ายแล้ว ถ้าลองไล่เรียงดูกันให้ดี สิ่งที่ทำให้ประชาชน เกลียดรัฐบาลนี้จนเข้าไส้ ก็คือคนหน้าด้านอย่างนายอภิสิทธิ์นั่นเอง นี่ถ้าอำมาตย์รู้จักคิดซักหน่อย ไปเอาหมาเอาแมวมาเป็นนายกฯซะ ให้รู้แล้วรู้รอด ชาวบ้านยังจะทำใจได้ง่ายกว่านี้เยอะ

กลายเป็นรัฐบาลสารพัดฉายา ที่ชาวบ้านต่างพร้อมใจกันตั้งให้ จนไม่รู้จะเรียกว่าอะไรดี แต่ที่เหมาะสมที่สุด น่าจะเป็นรัฐบาลสัตว์นรก ตามที่พันธมิตรนำทางไว้ให้ ติดแต่ว่ามันยังไม่ถนัดปาก เพราะว่าฝ่ายเรายังถ่อยไม่พอ ทั้งๆที่คำๆนี้ ดูจะถ่อยน้อยไปด้วยซ้ำ เมื่อเทียบกับพฤติกรรมโจรห้าร้อย ที่ระดมสารพัดสัตว์มาไว้ในที่เดียวกัน

เสือสิงห์กระทิงแรดยังต้องชิดซ้าย เมื่อต้องมาเจอกับสิงสาราสัตว์ หลากชนิดหลายพันธุ์ ทั้งสัตว์บก สัตว์น้ำ ยันไปถึง สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ ที่สั่งตรงมาจากนรกอเวจี และที่ขาดไม่ได้ไปซะแล้ว สำหรับพรรคถ่อยพรรคนี้ ก็คืองูเห่ายอดอกตัญญู และสัตว์เลื้อยคลานยอดฮิต ที่มีขนาดใหญ่กว่าจิ้งจก แต่เล็กกว่าจระเข้

สื่อต่างประเทศซึ่งไม่ค่อยเข้าใจ ประชาธิปไตยแบบไทยๆ เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ต่างพร้อมใจกันวิพากษ์วิจารณ์ อย่างสาดเสียเทเสีย ว่าเป็นรัฐบาลที่ไม่ได้ฉันทานุมัติจากประชาชนไปโน่น นี่ถ้าไม่เกรงใจกัน ก็คงเรียกว่ารัฐบาลโจรไปแล้ว โดยหารู้ไม่ว่า ในประเทศอันอุดมคุณธรรมแห่งนี้ ฉันทานุมัติจากประชาชน หรือจะมาสู้เอกสิทธิ์ของอำมาตย์

ถ้าไม่รู้ ก็น่าจะดูสื่อในประเทศเป็นตัวอย่าง เพราะเข้าใจดี จึงพากันอมสากหน้าตาเฉย ท่าทีดูเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งๆที่ครม.ชุดนี้ ก็หน้าตาเดิมๆ ที่พวกมันเคยร้องยี้ จะเป็นจะตายกันให้ได้ ตอนที่อยู่กับพปช. แต่ไหงพอทรยศหักหลังประชาชน แปรพักตร์มาสมสู่กับปชป. จู่ๆทำไมถึงได้หายยี้เป็นปลิดทิ้งไปได้ ก็ไม่รู้

ไม่น่าเชื่อว่ามะม่วงจำบ่ม จะสามารถเจริญรอยตามซือแป๋มัน ได้ทุกกระเบียดนิ้ว แม้กระทั่งงูเห่าพันคอ ที่ต่อไปนี้จะเป็นโลโก้ประจำตัว มีให้เห็นกันจนชินตา ในการ์ตูนเซียของไทยรัฐ ผู้ที่วาดงูเห่าพันคอเฒ่าชวนมาหลายปีดีดัก ่เพิ่งจะปลดออกเมื่อไม่นานมานี้นี่เอง

หลังจากอดอยากปากแห้งมากว่า 8 ปี เมื่อมีตำแหน่งรัฐมนตรีมาประเคนให้ถึงรัง มีหรือที่พรรคกาลีจะไม่โซ้ยกันเอง อย่างเป็นงานเป็นการ ขนาดที่ว่า ลุงหยัดถึงกับเจ็บตากระทันหัน จนไม่อาจเข้าร่วมประชุมแบ่งเค๊กได้ เพราะถึงประชุมไปก็อดแด๊กซ์อยู่ดี เลยพาลให้ลูกกะโล่ในก๊วนทศวรรษของลุงแก ออกอาการเจ็บตากันโดยพร้อมเพรียง

เพียงแค่วันแรกก็เข้าตากรรมการ จนตาปูดตาบวมไปตามๆกัน เมื่อนายกฯสดๆซิงๆ ที่ถนัดทำแต่เรื่องบ้าๆบอๆ ส่งเอสเอ็มเอสไปเข้าเครื่องชาวบ้านให้ทั่ว เพื่อกู่ร้องให้ก้องโลก เป็นการประกาศศักดาว่า "ในที่สุดมาร์คก็ได้เป็นนายกฯแล้ว ๆ ๆ ๆ" ผลปรากฎว่า ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ด้วยการด่าเช็ดไปถึงโคตรเหง้าศักราช

เมื่อถูกร้องเรียนว่า มันเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล ข่มขืนใจกันชัดๆ คณะกรรมกรคุ้มครองผู้บริโภค จึงได้โอกาสโชว์กึ๋น อธิบายว่า คนถูกข่มขืนนั้น บางคนก็พอใจ บางคนก็ไม่พอใจ คนที่พอใจก็ไม่ถือว่าข่มขืน ส่วนผู้ที่ไม่พอใจ ก็มีสิทธิร้องเรียนได้..คำตอบนี้ เล่นเอาเหวอกันไปทั้งบาง เรียกว่้า ไม่รู้จะเถียงมันยังไงจริงๆ

นับว่าเป็นโชคดีของคนที่ชมชอบลิเก เพราะว่าสมัยนี้ไม่ต้องไปหาดูที่ไหน ให้เมื่อยตุ้ม นายกฯของไทย มาเปิดวิกแสดงให้ดูเอง ประเดิมด้วยเรื่อง "แหวนหมั้นแทนใจจากยายเนียน" ที่เล่นเอาน้ำตาเล็ด น้ำตาร่วงกันไปทั้งบาง ส่งให้ยายเนียนขึ้นชั้นนางเอกยอดนิยม ในพริบตา ด้วยวัยที่ใกล้จะลงโลง

ถัดมาไม่กี่วัน ก็ต่อทันทีด้วย นิยายยอดฮิต "บ้านทรายทอง" จับตอนคุณชายเข้าบ้านใหม่ๆ สารพัดที่จะโดนกลั่นแกล้ง จนแทบไม่เป็นผู้เป็นคน เพียงแค่วันแรกก็ถูกใช้ให้กวาดบ้านซะแล้ว ทำให้ต้องถือไม้กวาดงกๆเงิ่นๆ อย่างน่าเวทนา เหตุเพราะว่า คนที่เคยกวาดให้เป็นประจำ ก็ดันโขมยบัตรเอทีเอ็ม เผ่นหนีไปซะฉิบ

เพียงแค่แซมเปิ้ล 2 เรื่องแรก ก็ทำเอาชาวบ้านคอลิเก ประทับใจจนอ้วกแตกอ้วกแตนไปตามๆกัน นี่ก็ใจจดใจจ่อรอดูเรื่องต่อไปอยู่ ซึ่งคาดกันว่า น่าจะเป็นเรื่อง...

"ฝากรักด้วยขี้..ที่อุบลราชธานี"

วโราทาห์: 22 ธ.ค. 51

Thursday, December 18, 2008

เรื่องของยายเนียน ที่ชักจะไม่ค่อยเนียนซะแล้ว

เช้าวันนี้ ยายเนียนประสบความสำเร็จอย่างสูง ในการลืมตาขึ้นดูโลกอีกครั้งหนึ่ง เพียงแค่ยังหายใจอยู่ได้ ก็เท่ากับบวกกำไรให้ชีวิตเพิ่มขึ้นมาอีก 1 วัน ด้วยวัย 84 ปี ถึงแม้จะยังดูเด็กมากเมื่อเทียบกับปู่เย็น แต่ถ้าว่ากันตามมาตรฐานทั่วไปแล้ว ต้องถือว่าเป็นวัยแรกแย้มฝาโลง ที่เข้าใกล้ความตาย จนสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายพญายม

ขณะที่กำลังนั่งมึน อยู่ที่ชานเรือน ยังไม่รู้ว่าจะจัดการกับชีวิตต่อไปยังไงดี สายตาที่เหม่อมองไปบนถนนลูกรัง ที่ทอดผ่านหน้าบ้าน ก็ล็อคเป้าเข้าจังเบอร์ที่ลูกหมาตัวน้อยๆ ซึ่งกำลังจะเดินผ่านหน้ายายเฒ่า ไปอย่างเซ็งๆ คาดไม่ถึงว่า ภาพนั้นกลับปลุกอารมณ์คนแก่ให้คึกขึ้นมา อย่าน่าอัศจรรย์

เท้าไวเท่าความคิด ยายเนียนโดดผลุงลงจากชานเรือนอย่างรวดเร็ว ดักหน้าดักหลังเจ้าตูบน้อย ที่เกิดอาการแตกตื่นในระดับหนึ่ง ก่อนที่จะคว้าคอมับ อุ้มมาเข้าอ้อมอก แล้วลูบหลังลูบไหล่ด้วยความเอ็นดู ถือเป็นลาภลอยแท้ๆ ที่จู่ๆก็มีหมามาสู่ โดยไม่ต้องออกไปตะลอนหา เช่นทุกวันที่ผ่านมา

ยา่ยเฒ่าอุ้มหมาน้อย ขึ้นเรือนไปอย่างลิงโลด แล้วลากกล่องสังกะสีมาเปิด สายตาแสดงอาการลิงโลดอย่างเห็นได้ชัด ขณะที่จ้องมองไปที่แหวนทองเหลืองจำนวนมาก ที่สุมกองอยู่ระเกะระกะ ค่อยๆเลือกสรร จนกระทั่งได้อันที่เหมาะเหม็งกับข้อเท้าของเจ้าตูบ

แต่แล้ว จู่ๆไม่มีปี่มีขลุ่ย แกก็พรวดพราดลุกขึ้นอย่างแตกตื่น รีบอุ้มเจ้าตูบเข้าไปซุกอยู่หลังฝ้าบ้าน แล้วค่อยๆชะโงกหัวโผล่ออกไปสอดส่องที่ถนนหน้าบ้าน

เสียงรถบุโรทั่ง แล่นโครมคราม ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ พร้อมกับเสียงบีบแตรปู๊นๆ เป็นสัญญาณว่า รถรับซื้อหมามาแล้ว เจ้าของคือทิดมากที่นั่งยิ้มเผล่ เก๊กหล่ออยู่ในที่นั่งคนขับ คนผู้นี้ จัดว่าเป็นเด็กหนุ่มรุ่นใหม่หัวโบราณ ที่คนในหมู่บ้านเกลียดยิ่งกว่าขี้

รถนั้นแล่นผ่านหน้า่บ้านไป ไม่ช้าไม่เร็ว มองเห็นตราพระแม่ธรณีบีบมวยผม หราอยู่ข้างรถอย่างชัดเจน นัยว่ามันไปถอดแบบมาจาก การประปานครหลวงที่เมืองกรุง คนขับนั่งดุ๊กดิ๊กๆอยู่ไม่สุข ตลอดเวลา เป็นบุคคลิกส่วนตัว ที่ไม่มีใครยอมเลียนแบบ พร้อมกันนั้นยังส่งยิ้มกะลิ้มกะเหลี่ย กะเรี่ยกะราดไปทั่ว ทำราวกับว่า ตัวมันนั้นหล่อซะเต็มประดา

" ฝากบ้านไว้ด้วยคร๊าบ..ฝากบ้านไว้ด้วยคร๊าบ.." เป็นเสียงตะโกนซ้ำๆซากๆของไอ้จ้อน เด็กเหลือขอท้ายบ้าน ที่ไม่รู้ว่ามันนึกเพี้ยนยังไง มาวิ่งตามดมฝุ่นที่ฟุ้งอยู่ท้ายรถ อย่างไม่ยอมลดละ

"ไปฝากไว้กับก๋งมึงนั่น..กูไม่ใช่ยาม" ทิดมากชะโงกหัวออกมาด่าเช็ด อย่างเหลืออด ด้วยความรำคาญ ที่มีเด็กกะโปโลมาวิ่งตามแหกปากไม่เลิก

วันนี้ไอ้จ้อนมันเป็นบ้าอะไรของมันวะ ยายเนียนรำพึงกับตัวเอง ท่ามกลางฝุ่นสีแดงที่ฟุ้งเข้ามาเต็มบ้าน ขณะที่รถรับซื้อสุนัขควบปุเลงๆผ่านไป อย่างไม่ใยดี ต้องรออยู่ครู่ใหญ่ กว่าฝุ่นนั้นจะค่อยจางลง จึงหันมาบรรจงสวมแหวนทองเหลืองเข้าที่ข้อเท้าเจ้าตูบ ถือเป็นความสุขเล็กๆน้อยๆของคนวัยดึก ที่ได้สวมแหวนหมั้นให้กับสุนัขข้างถนน

" ขอวงหนึ่งซิยาย" เสียงทักดังลั่นขึ้นมาทำลายความเงียบ พร้อมกับใบหน้าอูมๆสีดำปี๋โผล่มาที่ประตู เมื่อผสมกับนัยน์ตาที่เบิกโพลง จนถลนออกมานอกเบ้า มองแว๊บก็รู้ว่าผีเน่าอืดลอยมา เป็นใครไม่ตกใจ สงสัยว่าไม่บ้าก็เมา

ยิ่งยายเนียนขัวญอ่อนด้วยแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึง แกกระโดดตัวลอยจนเกือบทะลุหลังคา ก่อนที่จะตกปุ๊ลงมาเพราะถูกกระชากอย่างจัง จากแรงโน้มถ่วงของโลก บ้านทั้งหลังสั่นสะเทือนราวกับแผ่นดินไหว ในขณะที่ปากซึ่งเป็นระบบกึ่งอัตโนมัติอยู่แล้ว ก็เริ่มด่ากราดอย่างสาดเสียเทเสีย เล่นไปซะหลายชุด จึงค่อยสงบลงได้ กว่าจะเริ่มเอ่ยปากทักทายกัน ตามประสาคนคุ้นเคย

"ไอ้เมือก ไอ้ชิบหาย.." แค่ทักกันพอท้วมๆ ยังไม่ได้พูดอะไรต่อ ก็ถูกขัดจังหวะจากไอ้จ้อน ที่วิ่งกระหืดกระหอบ เข้ามาหาเฒ่าเมือก

"ข้าตะโกนให้แล้ว เอาเงินมาซะดีๆ" ไอ้เด็กเวรมันทำท่าทำทาง อย่างกับนักเลงรับจ้างมาทวงหนี้ อาการอย่างนี้ทำให้เฒ่าเมือกไม่อาจปฏิเสธได้ ต้องล้วงควักไปทั่วตัว จนได้แบ๊งค์ยี่สิบติดหนึบออกมา 1 ใบ ยื่นส่งให้ไอ้จ้อน อย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก

"20 เองเหรอตา อย่าลูกเล่นดีกว่า ไหนตกลงกันว่า 50 ไง" ไอ้จ้อนโวยลั่น ทำท่าว่างานนี้มันเอาเรื่องแน่

"ก็เองเล่นไม่เนียนเอง ไปโดนทิดมากมันด่ากลับ หักไป 30 จะเอาไม่เอา" เฒ่าเมือกก็ไม่เบา ยื่นคำขาดที่ไม่อาจปฏิเสธ กลับไปเหมือนกัน

"อ้าวเวร.." ไอ้จ้อนสบถออกมา ด้วยสุ้มเสียงที่แผ่วเบา ขณะที่ยื่นมือไปรับแบ๊งค์ 20 อย่างจำยอม เพราะรู้ดีว่า ถ้าไม่คว้าไว้ก่อน อาจจะโดนโกงไปมากกว่านี้

หลังจากนั้นเฒ่าเมือกจึงหันมาเจรจาธุรกิจ กับยายเนียนอย่างมือโปร ก่อนที่จะจบลงด้วยการจูงมือสาวเหลือน้อย ไปที่งานปั้นข้าวเหนียวที่ไร่มันสำปะหลัง

@@@@@@@@@@@@@@@

"... ไม่ลืมวัน ที่ปั้นข้าวเหนียวที่ไร่มันสำปะหลัง และอดที่จะเอ่ยถึงไม่ได้ คือ คุณยายเนียน ที่ได้มอบแหวนวงนี้ ให้ผม และได้หมั้นผมกับคนอีสานไว้" ทิดมากชูแหวนที่สวมนิ้วไว้ตลอดเวลา ขณะที่ส่งเสียงออดอ้อนอยู่ในจอทีวี เนื่องในโอกาสเข้ารับตำแหน่ง นายกสมาคมคนซื้อสุนัขแห่งประเทศไทย จากผลงานการกว้านซื้อสุนัขจากบุรีรัมย์ มาได้อื้อ

"โถ..พ่อคุณ นึกว่าลืมคู่หมั้นคนนี้ไปซะแล้ว.." ยายเนียนที่ใจจดใจจ่ออยู่หน้าจอทีวี ประทับใจจนกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ แกร่ำไห้ออกมาอย่างเหลืออด ขณะที่กอดสุนัขตัวน้อยไว้แนบอก

พร้อมกับยกขาหน้าข้างซ้ายของมัน ที่มีแหวนหมั้นทองเหลืองสวมอยู่ตลอดเวลา ขึ้นมาแนบกับแก้มเหิ่ยวๆ ด้วยความซาบซึ้ง...เหนือคำบรรยาย

วโรทาห์: 18 ธ.ค. 51

Wednesday, December 17, 2008

ชัยชนะของพรรคประชาวิบัติ บนความพ่ายแพ้ของประชาชน

ออกอาการเซ็งไปตามๆกัน เมื่ออุตส่าห์ต่อสู้มาแทบตาย แต่สุดท้ายก็ไปไม่รอดอยู่ดี ต้องจำนนต่อรัฐบาลยัดเยียดแห่งชาติ ที่ได้รับการอนุเคราะห์เป็นอย่างเลว จากระบอบอำมาตย์ทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการทุกหมู่เหล่า องค์กรโคตรอิสระทั้งหลาย นักวิชาการชั่ว สื่อเลว และใครๆต่อใครอีกเยอะแยะตาแป๊ะไก๋ จาระไนไม่หมด

และที่ประชาชน จะลืมไม่ได้เป็นอันขาดคือ "นักรบศรีธนญชัย" ที่อยู่ในคราบตาชั่งภิวัฒน์

บันทึก หน้าใหม่ในกินเนสส์บุ๊ค ต้องจารึกไว้ว่า รัฐบาลที่สุดของที่สุดแห่งโลก ได้เกิดขึ้นแล้วเป็นครั้งแรกในประเทศไทย ไมใช่นายกฯที่หนุ่มที่สุด แต่เป็นนายกฯที่หน้าด้านที่สุด เท่าที่โลกเคยมีมา อีกทั้งสุดยอดแห่งวิชามาร เรื่องชั่วช้าเลวทรามทั้งหลาย และสัตว์ประหลาดทุกสายพันธุ์ บรรดามี ได้มาสุมหัวรวมกันเรียบร้อย ในรัฐบาลนี้รัฐบาลเดียว

ความด้านอยู่ที่ไหน ความสำเร็จย่อมอยู่ที่นั่น ทุภาษิตบทนี้ ยังใช้ได้ดีเสมอสำหรับคนหน้าด้าน คำพูดที่ว่า คนหน้าด้านเป็นคู่ต่อสู้ที่รับมือได้ยากที่สุด จึงไม่ใช่เรื่องเกินจริง ในกระบวนยอดฝีมือทั้งหลาย ไม่ว่าจะเก่งกล้าสามารถเพียงใด ไม่มีใครไม่กลัวคนหน้าด้าน เหตุเพราะมันทำได้ทุกอย่าง ที่ไม่มีใครคาดคิดว่า มันจะกล้าทำ

เป็นครั้งแรก ที่เราได้เห็นคนอย่างนายม.7 ออกอาการเหนียมๆ เมื่อทราบผลว่าได้แอ้มเก้าอี้นายกฯแน่นอนแล้ว คล้ายๆกับว่ายังพอมียางอายอยู่บ้าง ไหนๆก็ถึงฝั่งแล้ว ก็ควรจะให้หนังหน้าได้พักซักหน่อย ไม่งั้นอาจจะด้านจนเกินเยียวยา เห็นพูดผ่านทีวีว่ารู้สึกไม่คุ้น ที่มีคนเรียกว่าท่านนายกฯ เลยโดนสวนทันควันจากหน้าจอตู้ว่า กูยิ่งไม่คุ้นใหญ่ ที่จะเรียกคนหน้าด้านว่าไอ้นายกฯ

ท่านอำมาตย์นี่ก็ช่างกระไร ไหนๆก็ด้านได้ถึงเพียงนี้แล้ว จะด้านเพิ่มอีกซักหน่อยจะเป็นไรไป ไหนๆก็ไหนๆน่าจะให้เฒ่าหน้าแหลม เขียนลงไปในรัฐธรรมนวยซะ ให้รู้แล้วรู้รอดว่า พรรคที่จะจัดตั้งรัฐบาลได้ ต้องเป็นพรรคที่ก่อตั้งมาแล้วไม่น้อยกว่า 60 ปี แค่นี้ก็สิ้นเรื่อง ไม่ต้องมาลากยาว ให้ฉิบหายวายป่วงกัน อย่างเช่นทุกวันนี้ เพราะถึงยังไง ท้ายที่สุดก็ต้องให้พรรค 60 ปี ตั้งรัฐบาลอยู่ดี

ต่อไปนี้ก็ถึงเวลาอยู่ดีกินอร่อย ภายใต้รัฐบาลกองทัพงูเห่า ที่มีโลโก้ติดตลาดไปซะแล้ว เป็นรูปไอ้ห้อยกับไอ้โหนกอดกันกลม ราวกับพี่น้องแฝดคนละฝา ที่หลงรูหากันไม่เจอมาหลายสิบปี เมื่อได้พบหน้ากันเป็นครั้งแรก จึงต่างโผเข้าจูจุ๊บกันอย่างดูดดื่ม เล่นเอาชาวบ้านแตกตื่นกันทั้งบางนึกว่า "หั้นกอดเกีย"..แต่เดี๋ยวก็เฮี่ยกัดกัน

เมื่อ"หั้นมาเจอเกีย" มันก็แน่นอนอยู่แล้วว่า ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องเป็นเบี้ยล่าง ไม่งั้นจะผสมพันธุ์กันยังไง ซึ่งงานนี้ ใครๆก็มองออกว่า "ฮาร์คเมี่ย" ต้องเป็นเบี้ยล่างของ "หิ้นเนเวีย" แต่ถึงขนาดนั้น ยังไม่วายปากหมา หยอดลูกเล่นว่า ผมเป็นเบี้ยล่างของประชาชนเท่านั้น

เป็นอันว่า ต่อไปนี้ไม่ว่าประชาชนจะมีกิน หรือไม่มียัดก็ตาม แต่สาบานได้ว่า จะมีคำพูดสวยหรูประเภทนี้ ให้ได้ฟังกันจนเอียน

เจอ ลูกเข็มขัดสั้นเข้าไปอย่างนี้ ฝ่ายประชาธิปไตยถึงกับทำใจลำบาก เมื่อเจอไอ้ห้อยเตะลูกเข้าประตูตัวเองเฉย เลยหันมาโวยวายกันใหญ่ แต่ไม่รู้ทำไม ไหงมาโวยกันเองซะฉิบ เสียสปิริตชาวเสื้อแดงหมด บ้างก็ว่า ฝ่ายตรงข้ามมันแอบเนียนมาทำโวย เพื่อให้ผิดใจกัน แต่ไม่ว่าจะเพราะอะไร ก็ขอให้ใจเย็นไว้ก่อน บอกแล้วว่าศึกครั้งนี้ มันเป็นมหากาพย์ ต้องออมแรงไว้ซดกันยาวๆ

เกมส์ฟุตบอลตัดสินกันใน 90 นาที แต่เกมส์ประชาธิปไตยไม่มีวันจบ ต้องสู้กันไปข้ามภพข้ามชาติ จนกว่าประชาชนจะเป็นฝ่ายชนะนั่นแหละ ถึงจะเลิกรา และในตำนานของมนุษยชาติ ประชาชนไม่เคยเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ เพียงแต่ว่าจะชนะเมื่อไหร่ ก็ต้องว่ากันไปอีกเรื่อง เรื่องล้มลุกคลุกคลานนั้นมีแน่ แต่ถ้าตื้อกันไปให้ถึงที่สุด ยังไง๊ยังไง ประชาชนก็ต้องได้รับการชูมือทุกที

แพ้ ชนะในระหว่างรบ มันก็แค่ชั่วครั้งชั่วคราว ตราบใดที่ยังต่อสู้ ก็ยังมีวันพลิกกลับมาชนะได้เสมอ ไม่ใช่ว่าเราไม่เคยแพ้ซะเมื่อไหร่ จะว่าไปแล้ว เราแพ้มาตั้งแต่เกิดด้วยซ้ำไป พอลืมตาดูโลก ก็อยู่ภายใต้อุ้งเท้าอำมาตย์ซะงั้น เพียงแต่ว่าเมื่อไม่รู้ตัว เลยไม่รู้สึกอึดอัด เพิ่งมาตาสว่างโร่ ก็เมื่อไม่นานนี้เอง การสงครามจึงเป็นเพียงแค่เริ่มต้น จะรีบเอาชนะคะคานกันไปถึงไหน

เกมส์ ของใคร ก็ออกแบบมาให้ตัวเองได้เปรียบอยู่แล้วเป็นธรรมดา เราอย่าไปเล่นเกมส์เขามันก็หมดเรื่อง ต่อไปนี้ก็ประสานนอกใน บนดิน ใต้ดิน ใครถนัดทางไหน ก็เล่นทางนั้น อย่ารวมกันเป็นกลุ่มก้อน ให้มันกำจัดได้ง่ายๆ ยุทธวิธีอย่างนี้นี่แหละ อำมาตย์กลัวนัก แค่โดนเข้าไปไม่กี่น้ำ ก็ขี้คร้านจะรีบวิ่งโร่มาปูผ้ากราบ หรือออกนโยบาย 66/51 มาเกี้ยเซี้ย

กำแพง ยักษ์ยังอาจพังทลายลงได้ ถ้าถูกเซาะเอาอิฐออกไปทีละก้อน ระบอบประชาธิปไตย อาศัยแค่เสียงข้างมากก็เพียงพอ แต่เผด็จการต้องได้เสียงท่วมท้น ถึงจะพออาศัย จึงไม่แปลก ที่พวกนั้นจะต้องคอยร้องแรกแหกกระเชอ ให้รู้รักสามัคคี มาเป็นขี้ข้าให้อำมาตย์ใช้สอยซะดีๆ ถ้าขืนเอาไว้ไม่อยู่ มีคนคัดค้านเพียงแค่ 10-20 เปอร์เซ็นต์ หายนะก็มีหวังมาเยือนเอาง่ายๆ เพราะ...

อิฐที่เซาะออกมา 1 ก้อนจะไปเซาะอิฐข้างๆอีกหลายก้อน จนกระทั่งลามปาม ถึงจุดพังทลายในที่สุด

วโรทาห์: 17 ธ.ค. 51

Tuesday, December 16, 2008

@@@ อ า ย ทุ ย @@@

๏ เย็นย่ำสุริยา ขอบปลายฟ้าฉาบสีแดง
ย่างเดินยามค่ำแลง จูงเจ้าทุยกลับเถียงนา

๏ ค่ำคืนบ่ใคร่นอน เบิ่งแสงเพ็ญผ่องนภา
น้อยใจโชคชะตา บ่เหมือนคนอื่นเขาเป็น

๏ ชาวนาเป็นชาวดิน แค่หากินยังยากเย็น
ตรากตรำใช้กรรมเวร เหมือนเกิดมาเป็นส่วนเกิน

๏ ผู้แทนเคยไหว้เรา พอได้เป็นเขาก็เมิน
ขายตัวแลกเศษเงิน เกาะหากินตามเขาไป

๏ เจ้าทุยยังเหนือคน ที่ทำตนเป็นจังไล
ทุยเอยอย่าน้อยใจ ถึงเกิดมาบ่ใช่คน

๏ แต่ทุยเหนือผู้แทน ที่ขายตัวสู่ซ่องโจร
ทรยศต่อนายตน เป็นทาสเงินของนายเวร

วโรทาห์: 16 ธ.ค. 51

Sunday, December 14, 2008

ปิดกั้นแทบตาย สุดท้ายก็ยังล้นทะลักอยู่ดี

ผ่านไปอีกครั้งกับวันแดงเดือดศุภชลาศัย 13 ธันวาคม 2551 ท่ามกลางแสงนวลจันทร์อันสว่างไสว ในคืนเดือนเพ็ญที่แสนจะโรแมนติค แต่น่าเสียดาย ที่ท่านอำมาตย์กลับต้องนอนเหงื่อแตก คอยเงี่ยหูฟังความเคลื่อนไหว อย่างใจจดใจจ่อ หลักใหญ่ใจความอยู่ที่ แฉ..ไม่แฉ แฉ..ไม่แฉ แค่นั้นจริงๆ

ลองนับนิ้วไล่เรียงดู จำนวนคนไทยหัวใจสีแดงที่มารวมพลังกัน ในคืนพระจันทร์เต็มดวง ก็ไม่มากไม่มายเท่าไหร่ แค่เต็มแล้วเต็มอีก จนล้นทะลักลามปามไปทั่วอาณาบริเวณใกล้เคียง บอกแล้วไม่เชื่อ ว่าขาดเนวินแล้วจะรู้สึก เห็นไม๊ล่ะ! คนมากัน แค่ไม่กี่พันเอง

แปลกแต่จริง งานใหญ่ระดับบิ๊กขนาดนี้ แต่คนที่เหนื่อยสายตัวแทบขาด แทนที่จะเป็นคณะกรรมการจัดงาน กลับกลายเป็นคณะกรรมการที่ไม่อยากให้จัดงาน ข่าวว่าลงทุนไปหลายอยู่เหมือนกัน ตั้งแต่ส่งคุณนายเป็ดหน้า่ยักษ์ ไปตรวจสัญญาหยุมๆหยิมๆ จุกจิกกวนใจให้จัดงานลำบากเล่นๆซะงั้น

นอกจากนั้น ยังลงทุนปิดกั้นการประชาสัมพันธ์ทุกรูปแบบ เพื่อไม่ให้ประชาชนได้รับรู้ นอกเหนือจากที่สื่อชั่วในอาณัติอำมาตย์ ช่วยกันอมพะนำ ไม่กะโตกกะตาก ออกมาตีโง่เหมือนคราวที่แล้ว เพราะดันไปประโคมข่าว อัดก๊อปปี้เรื่องทักษิณโฟนอินฯ ว่าจะทำให้แตกแยก จนชาวบ้านแห่กันไปดูอย่างล้นหลาม เพื่อพิสูจน์ให้เห็นจะๆกะตา ว่ามันจะแตกแยก ซักแค่ไหนกันเชียว

ยิ่งเมื่อถึงวันงาน ยิ่งไม่ต้องพูดถึง นอกจากตำรวจที่มาดูแลความสงบเรียบร้อยตามปกติแล้ว อำมาตย์ยังแสดงน้ำใจ ด้วยการส่งทหารที่กินเงินเดือนประชาชน ระดมกันมาถึง 17 กองร้อย เพื่อช่วยเทคแคร์ประชาชน ที่คาดกันว่า จะมากันเพียงไม่กี่พันคน ด้วยอาวุธประดามี ที่ขนกันมาเพียบ

และตามธรรมเนียมปฏิบัติอันเลวทราม ทหารสื่อสาร ภายใต้การสนับสนุนอย่างสุดลิ่มทิ่มประตูจาก CAT ยังตั้งหน้าตั้งตา ไล่บล็อคสัญญาณการถ่ายทอดสดทุกรูปแบบ เพราะความหวังดี ไม่อยากให้ประชาชน ได้ยินได้ฟังสิ่งที่ไม่ดี นอกเหนือจากเรื่องคุณธรรมจริยธรรม ที่ศักดินาจัดให้เป็นประจำอยู่แล้ว

ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันไม่เลิก ว่าคนพวกนี้มันโง่เหมือนควาย หรือควายโง่เหมือนมันกันแน่ ถึงไม่เคยแสดงความฉลาดออกมาให้เห็นแม้แต่ครั้งเดียว อุตส่าห์คิดกันไปได้ ว่าถ้าถ่ายทอดสดไม่ได้แล้ว ชาวบ้านจะหมดโอกาสรับรู้

ถ้าเป็นเมื่อหลายสิบปีก่อนล่ะไม่เถียง แต่นี่มันพ.ศ.เท่าไหร่แล้ว เสียงตามสายมันไม่ได้หายไปกับสายลมซะเมื่อไหร่ ชาวบ้านชาวช่อง เขาอัดคลิปกันเป็นว่าเล่นแล้วหละลุง

เกิดเป็นคนไทยสมัยนี้มันก็ดีไปอย่าง นอกจากละครจักรๆวงศ์ๆ ที่มีให้ดูกันทุกค่ำคืนแล้ว เรื่องป่าเถื่อนโบร่ำโบราณ เรายังอนุรักษ์ไว้ได้ไม่มีตกหล่น เรียกว่าอะไรที่ชาวบ้านเขาไม่มี เรามีหมด แต่สิ่งที่ชาวบ้านเขามีกัน เราดันไม่มีซักอย่าง

สรุปว่างานนี้ อำมาตย์เสียวเก้อ หลงไล่บล็อคกันแทบตาย แต่สุดท้าย ทักษิณก็ไม่โฟนอิน ลุงวีระนะลุงวีระ ช่างทำไปได้ ไม่ออกหมัดก็ไม่บอกกันซักคำ ปล่อยให้ชกลมวืดวาด จนหน้าแหกเป็นริ้วปลาแห้งซะงั้น เหมือนหลอกคนแก่ ให้ออกมาแก้ผ้าให้ชาวบ้านดู โชว์โง่คราวนี้ มีแต่เสียกับเสีย

ถ้าว่ากันตามตรง คนส่วนใหญ่ที่ลงทุน ไปแออัดยัดเยียดกันในที่แคบๆ ก็หวังจะฟังทักษิณโฟนอินสดๆมา ให้ชื่นใจกันทั้งนั้นแหละ แต่ถ้าไม่ได้ก็ไม่ีปัญหา เพราะทุกคนต่างมาด้วยใจ เรียกว่า เพื่อประชาธิปไตยแล้ว ยังไงก็ต้องมาอยู่ดี

พูดง่ายๆว่า ถ้าโฟนอิน ก็ดีไปอย่าง แต่ถ้าไม่โฟนอิน ก็เก๋ไปอีกแบบ แต่ไม่ว่าจะกรณีไหน ก็สมควรแล้ว ที่ลุงวีระจะป่าวประกาศ ให้มันเอิกเกริกเข้าไว้ อะไรไม่อะไร อย่างน้อยได้หลอกให้อำมาตย์ ประสาทกินเล่นๆ ก็ยังดีกว่าอยู่เปล่าๆ แหม.เอะอะก็จะแฉ ใครไม่กลัวก็บ้าแล้ว

พูดก็พูดเถอะ ทุกวันนี้ต่อให้ทักษิณไม่แฉ ชาวบ้านเขาก็รู้กันทั่วบ้านทั่วเมืองอยู่แล้ว ค่าที่จู่ๆพวกมันพอคุ้มดีคุ้มร้าย ก็โผล่หน้าออกมาแฉตัวเองเป็นระยะๆซะงั้น แต่ไม่รู้ทำไม พอใครบอกว่าจะแฉ ยังอดไม่ได้ ต้องตกใจแทบตาย ไปทุกทีเหมือนกัน

เอาหละ..อย่างน้อยถือว่างานนี้ สีแดงได้เติมแบตฯกันอีกครั้ง ว่าแล้วก็หันมา ก้มหน้าก้มตาโซ้ยกับมารร้ายต่อไป ในเมื่อจอมมารเล่นไม่เลิก ประชาชนก็สู้ไม่ถอยเหมือนกัน ระวังไว้เถอะ ขืนปิดกั้นกันมากๆ จนประชาชนไม่มีหนทางต่อสู้บนเวที ขั้นต่อไปอาจจะยิ่งดูไม่จืด ทำเป็นเล่นไป...

กระแสใต้ดิน ที่ไม่ใช่เลขท้าย 2 ตัว 3 ตัว นับวันจะแรงขึ้นโดยลำดับ

วโรทาห์: 14 ธ.ค. 51

Tuesday, December 9, 2008

เพื่อแม่แพ้บ่ได้..สีเขียวดันปชป.เต็มสูบ

หลังจากที่ดิ้นรนขัดขืน เอาตัวรอดมาได้ตั้งหลายยก ตายแล้วฟื้นคืนชีพมาก็หลายหน แต่สุดท้าย ประชาชนเสียงส่วนใหญ่ ก็ทำท่าว่าจะไม่รอดเงื้อมมือ อำมาตย์เสียงส่วนน้อยอยู่ดี เมื่อตุลาการกังฉินจัดการฆ่าล้างโคตร อย่างโหดเหิ้ยม เชือดยกครัวอย่างทารุณไป 3 พรรค ขึ้นชั้นจอมโจรร้อยศพไปในเวลาแค่ 1 ชั่วโมง

นับได้ว่าเป็นการฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน แถมยังเลือดเย็นอย่างสุดๆ โหดผิดมนุษย์มนา ถึงขนาดว่าพ่อบ้านแม่เรือน ยกมือไหว้ปะหลกๆ ร่ำไห้วิงวอนออดอ้อนขอชีวิต จนน้ำตาแทบจะเป็นสายเลือด ต่อมคุณธรรมจริยธรรม ยังไม่มีกระดิกกระเดี้ยแม้แต่น้อยนิด

หมดกัน..เมื่อบ้านแตกสาแหรกขาด ประชาชนที่ใสซื่อบริสุทธิ์ ก็มีสภาพไม่ต่างจากสมันน้อย ที่พลัดหลงเข้าไปในดงหมาป่า มีหวังถูกสมุนอมาตยาฯต้อนหน้่าต้อนหลัง จับขึงพืดให้พรรคจังไล มันย่ำยีจนปี้ป่น เห็นทีว่ามาร์คหน้าด้าน จะได้ขึ้นครูในตำแหน่งนายกฯกัน ก็คราวนี้

จากเด็กกะโปโลที่ไม่เคยแม้แต่แจวเรือจ้าง ยังริบังอาจมาอาสา ถือหางเสือเรือโยง สงสัยที่บ้านคงไม่มีกะโหลกกะลา ซักกะใบ หรือว่ามี แต่ไม่รู้จักตักน้ำใส่กะโหลก จะได้ชะโงกดูเงาหัวตัวเอง ว่ามันโหลยโท่ยซะขนาดไหน

ชาวประชาธิปไตย คงทำใจลำบากอยู่ซักหน่อย ที่เห็นหัวหน้าพรรคสมุนเผด็จการ แสดงความซ่านจนออกนอกหน้า มีอาการรักชาติจนน้ำลายไหล อยากจะกระซวกชาติจนหัวสั่นหัวคลอน แลบลิ้นปลิ้นตาราวกับว่า เห็นสาวน้อยมาแก้ผ้าอยู่ีตรงหน้ายังไม่ปาน อาการอย่างนี้ ถ้าไม่เรียกว่า..สำเร็จความใคร่เพื่อชาติ..แล้วจะให้เรียกว่าอะไร

ฝ่ายเฒ่าเทือกตาโปนนั้น ไม่ต้องพูดถึง แสดงอาการกระดี๊กระด๊า ตามประสาเฒ่าลามกไม่เคยเปลี่ยนแปลง ออกทีวีถี่ยิบ จนชาวบ้านแทบจะยกเท้าถีบให้หงายเก๋งไปทั้งทีวีทั้งคน ข้อใหญ่ใจความ ก็เพื่อจะเคาะกะลาให้หมาดีใจ ว่าครม.บุฟเฟ่ต์ยี่ห้อประชาธิเปรตแร้งทึ้ง เปิดกิจการได้แน่ยิ่งกว่าแช่แป้ง ถ้าใครขืนมาช้า เกิดตกขบวนรถไฟ จะมาหาว่าไอ้แก่ไม่เตือนไม่ได้นะ

สูตรเดิมๆแหละเฒ่าเอ๊ย ใช้มาจนพรุนแล้วพรุนอีก ใครๆเขาก็รู้ ว่าลักไก่แบบเด็กๆ

เพราะข่าวลึกเบื้องหลัง แจ้งมาว่า ช้าก่อนมันยังไม่สะเด็ดน้ำ ยังอยู่ในขั้นเตรียมการก่ออาชญากรรมแค่นั้นเอง งานนี้มีการทุ่มทุนสร้างอย่างสุดๆ เป้าหมายคือซื้องูเห่า 60 ตัว เคาะราคาไว้ที่ตัวละ 3-4 สิบล้านอย่างเหนาะๆ เบ็ดเสร็จใช้เงินจิ๊บๆแค่ 2 พันล้าน ขนหน้าแข้งไม่ร่วง เพราะสปอนเซอร์เปย์ไม่อั้นอยู่แล้ว ดีกว่าเอาไปละลายแม่น้ำ กับม็อบแป๊ะเป็นไหนๆ

แต่ทำไปทำมา เรื่องมันทำท่าว่าจะไม่ง่ายซะแล้ว เมื่อประชาชนทนไม่ได้ เลยชวนกันมาออกโรงเอง ถ้าขืนส.ส.แหกคอกไป ก็เท่ากับฆ่าตัวตายทั้งเป็น ชาวบ้านที่ไหน จะปล่อยมันไว้ทำพันธุ์ ด้วยเหตุฉะนี้ เฒ่าเทือกจึงต้องมุดถ้ำ เข้าไปสุมหัวกับทหารทราม เพราะในเมื่อเอาเงินฟาดหัวเพียวๆไม่ได้ มันก็ต้องเพิ่มฟังค์ชั่น ใช้บริการเสริมของพวกนักเลง

อีกอย่่าง งานนี้สีเขียวก็มีไฟต์บังคับ ต้องทุ่มสุดตัว เพื่อแม่แพ้บ่ได้..เหมียนกัน

จึงไม่น่าแปลกใจ ที่ทหารศักดินา จะออกมาขมีขมัน เดินเกมส์จัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยเป็นการใหญ่ ยังไงก็ต้องดันก้นประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล ให้จงได้ เพราะในเมื่อมันเสี่ยงเกินไป ที่จะปฏิวัติด้วยปลายกระบอกปืน จึงต้องหันมาพึ่งการปฏิวัติผ่านรัฐสภา ที่กินนิ่มกว่ากันเยอะ เหตุเพราะมีพรรคโสเภณี นอนแผ่อ้าซ่า คอยให้บริการครบสูตรอยู่แล้ว โดยสมัครใจ

ถ้างานนี้สำเร็จ นักวิชาเกินที่กำลังมุดหัวอมสากกะเบือ อยู่ใต้ชายกระโปรงตอนนี้ ก็คงโผล่หัวออกมาขานรับกันเซ็งแซ่ ว่าถือเป็นพัฒนาการอีกขั้นของประชาธิปไตยแบบไทยๆ นับเป็นครั้งแรก ที่เราจะได้รัฐบาลทหารที่มาในคราบของพลเรือน หรือรัฐบาลพลเรือนที่เป็นนอมินีอำมาตย์ สุดแท้แต่จะยกยอปอปั้นกันไป เผื่อเข้าตากรรมการ จะได้มีเก้าอี้ตัวใหญ่ไว้รองก้น ให้บานเฉิ่มกันซะที

ระหว่างนี้ จึงเป็นหน้าที่ของทหารเลว ที่ออกเดินสาย ข่มขู่ส.ส.ในฝ่ายรัฐบาลให้ย้ายขั้ว ไม่งั้นจะส่งนักเลงสีเขียวไปพังร้าน เห็นว่าจะเอาให้เจ๊งคาตา ทำมาหากินไม่ได้กันเลยทีเดียว จึงเป็นสาเหตุ ที่ทำให้เห็นส.ส.หลายคนหันรีหันขวาง ไม่รู้จะเอายังไงดี มันถึงจะงามหยด ที่ทำท่าว่าจะแตกแถวค่อนข้างแน่ คือกลุ่มเพื่อนเนวินบางส่วน แต่ก็ต้องรอดูอีกที ว่ากลุ่มพ่อเนวินจะเอายังไงกัน

ทำไปทำมา ก็หนีไม่พ้นประชาชนอยู่ดี ที่ต้องยืนแลกหมัดกับอำนาจมืด ที่มีอำมาตย์เป็นทัพหน้า มีศักดินาคอยลุ้นอยู่เบื้องหลัง เรียกว่าตายเป็นตายเจ๊งเป็นเจ๊ง ไม่มีใครยอมใครง่ายๆ ก็แล้วกัน

เหตุที่เรื่องมันลากยาวมาถึงขนาดนี้ ฝ่ายขี้ข้าอำมาตย์ ก็โทษว่าเพราะน้าแม้วแกเล่นไม่เลิก จนแล้วจนรอดยังไม่ยอมวางอาวุธซะที มันเลยบานไม่หุบซะงั้น เออเนาะ..ออกรูนี้ก็ได้เหมือนกัน ตามประสาคนพาล ก็ต้องคิดแบบพาลๆเป็นธรรมดา

ผิดกับฝ่ายประชาชน ที่ไม่ใช่คนพาล จึงคิดไปอีกแบบ บอกว่า ที่พวกเราเอามันไม่ลงซะที ก็เพราะน้าแม้วแกสู้ไม่เต็มสูบ ไม่รู้ว่าจะเกรงใจอะไรกันนักกันหนา ถึงไม่กล้าทุ่มทุนสร้าง ปล่อยให้ประชาชน รับหน้าเสื่อเป็นเจ้าภาพ

ทอดกฐินผ้าป่ากันไป ตามมีตามเกิด

วโรทาห์: 9 ธ.ค. 51

Thursday, December 4, 2008

อย่าเป็นพระราชาที่ประชาชนกลัว แต่จงเป็นพระราชาที่เกรงกลัวประชาชน

กำลัง มันหยดติ๋งๆ สำหรับภาพยนตร์เกาหลีเรื่องยาว "บันทึกรักคิมชูซอน สุภาพบุรุษมหาขัณฑี" ลากยาวมาถึงตอนที่พระราชาองค์ใหม่ กำลังบ้าอำนาจอย่างสุดๆ สั่งลงทัณฑ์ขุนนางที่ชอบขัดใจอยู่เรื่อย จนงอมพระรามไปตามๆกัน ในขณะที่ขุนพลอยพยักกลับได้ดิบได้ดี อ้างราชโองการออกไล่ยำขาวบ้าน จนกลัวหงอไปทั้งบ้านทั้งเมือง

แล้วก็ เป็นไปตามสูตร ประชาชนที่ไหนจะไปแยกแยะออกว่า ราชโองการอันไหนของจริง อันไหนของปลอมทำเหมือน เลยยกผลประโยชน์ให้จำเลย หันไปแอบด่าพระราชาซะเละตุ้มเป๊ะ

ทั้งหลายทั้งปวงจึงเป็นหน้าที่ของ คิมชูซอน ในฐานะเจ้ากรมมหาดเล็ก ที่ต้องรับหน้าเสื่อเอากระดิ่งไปผูกคอแมว เพื่อปกป้องพระราชาไม่ให้เสื่อมหนักยิ่งไปกว่านี้ ด้วยการออกปากตักเตือนพระราชา ให้ประพฤติตัวอยู่ในทศพิธราชธรรม จนเป็นที่มาของวลีอมตะ "อย่าเป็นพระราชาที่ประชาชนกลัว แต่จงเป็นพระราชาที่เกรงกลัวประชาชน"

แล้วก็ได้ผลตามคาด มหาขัณฑีเจอยำซะเละเทะ ชนิดที่หมอไม่รับเย็บ แถมด้วยอ๊อปชั่นพิเศษ จับโยนออกไปนอกวังอีกต่างหาก..สมน้ำหน้ากะลาหัวเจาะ เล่นกะใครไม่เล่น มาเล่นกับพระราชา

นี่เป็นรายงานสรุปเหตุการณ์ล่าสุด ที่ออกฉายทางทีวีเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา เรื่องราวต่อไปจะมันเจ๋งเป้งขนาดไหน ต้องไปลุ้นระทึกเอาทุกวันเสาร์และอาทิตย์ตอนเย็นย่ำโพล้เพล้ แต่ข่าวล่ามาเร็วจากพรรคพวกที่ใจร้อน ซึ่งแอบดอดไปซื้อซีดีมาดู เป็นที่เรียบร้อยแล้ว กระซิบบอกมาว่า พระราชางานเข้า สุดท้ายก็โดนวางยาพิษ เรียบร้อยโรงเรียนเกาหลี ไปตามระเบียบ

หนังเรื่องนี้ ถ้าสร้างมาจากเรื่องจริง ก็ทำให้ได้รับรู้ว่า วัฒนธรรมเกาหลีนั้น เขามีการเกรงใจประชาชนมาตั้งแต่ปีมะโว้แล้ว ชาติอื่นจะเป็นยังไงก็ช่าง แต่สำหรับเกาหลีแล้ว ไม่ว่าใครหน้าไหน ถึงยิ่งใหญ่คับฟ้า ก็ได้แค่ชั่วครั้งชั่วคราว ทำเป็นมองข้ามหัวประชาชนไป ไม่นานก็จอดไม่ต้องแจว

สำหรับใครหลายคน คงออกมาโวยวายหาว่าขี้โม้ มีที่ไหน พระราชาต้องเกรงกลัวประชาชน มีแต่ประชาชนต้องกลัวพระราชาจนหงอหละไม่ว่า แต่ถ้าคิดให้ซึ้งก็จะพบว่า ทั้งหลายทั้งปวง มันเป็นสัจจธรรม พระเดชทำให้คนกลัวได้ แต่คงอยู่ไม่นาน ผิดกับพระคุณ ที่ทำให้คนรัก ถึงจะไม่เฉียบขาด แต่ก็ตีตั๋วยาว

ก็ลอง ว่าหน้าไหน ไม่ว่าพระราชาหรือสามัญชน ถ้าเกิดบ้าระห่ำลุกขึ้นมาไล่ฆ่าคนเป็นว่าเล่น ใครไม่กลัวก็บ้าแล้ว แต่จะอยู่ได้นานแค่ไหน ก็ว่ากันไปอีกเรื่อง ถึงไม่มีใครจัดการได้ แต่สุดท้ายก็เสร็จพญายมอยู่ดี ดูแต่จิ๋นซีฮ่องเต้เป็นตัวอย่าง ตอนอยู่ใครๆก็กลัวหงอ แต่พอตายไป เป็นไงล่ะ โดนขุดฮวงซุ้ยซะเละตุ้มเป๊ะ

ถ้า เป็นไปได้ ก็อยากให้ผู้มีอำนาจทั้งหลาย ไม่ว่าจะในรัฐธรรมนูญ หรือนอกรัฐธรรมนูญ ก็แล้วแต่ ได้หาโอกาสมานั่งดูหนังเรื่องนี้ แล้วฉุกคิดกันบ้าง เผื่อว่าอะไรๆอาจจะดีขึ้น อย่างน้อยที่สุด ก็จะได้สำเหนียกกันว่า แม้แต่พระราชา ยังใช่ว่าจะทำอะไรได้ตามอำเภอใจ แล้วพวกท่านเป็นใคร ถึงจะเอาแต่ใจตัวเอง เป็นบรรทัดฐาน

เวรกรรมของคน กะเหรี่ยง ที่ดันเกิดมาในถิ่นกาขาว เลยต้องอาศัยดูหนังชาติอื่น เอามาเป็นอุทาหรณ์สอนใจ เพราะถ้าขืนเปิดไปดูหนังกะเหรี่ยง นอกจากไม่สอนอะไรดีๆแล้ว ยังประสาทจะกินเอาอีกต่างหาก เมื่อเห็นตัวละครไล่ตบตีกัน ตั้งเปิดฉากไปจนยันเก็บฉากม้วนเสื่อ จึงไม่ใช่เรื่องแปลก ที่สังคมกะเหรี่ยง จะตัดสินปัญหาด้วยกำลังลูกเดียว

ทุกครั้งที่ดูหนังเรื่องนี้ ยังอดแปลกใจไม่ได้ ว่าทำไมเบื้องหลังชีวิต ของกงกงเกาหลีคนนี้ กับขัณฑีเกาเหลาคนนั้น มันถึงได้แป่เอี่ยเซมๆ อย่างกับโขลกออกมาจากพิมพ์เดียวกัน เพราะต่างก็อกหักรักคุดมาจากหญิงงาม เลยเสียใจถึงกับตอนตัวเองมาเป็นขัณฑี เพียงแต่ว่าชีวิตหลังจากนั้น ดันกลายเป็นหนังคนละม้วน

จะว่าไปแล้ว ระหว่างเกาเหลากัีบเกาหลี ก็มีดีเหมือนกันอยู่หลายอย่าง ในขณะที่ทางนั้นมี "คิมชูซอน" ทางนี้ก็เต็มไปด้วย "คนซ่อนชู้" และแม้แต่ทางนั้นมี "สุภาพบุรุษมหาขัณฑี" ทางนี้ก็มี...

"สุภาพสตรีมหาบุรุษ"

วโรทาห์: 4 ธ.ค. 51

Wednesday, December 3, 2008

๏ แดงรวี เปลวไฟ บรรลัยกัลป์ ๏

๏ มองดูแสง สุรีย์ ที่ฉายฉาน
ประหนึ่งปาน สีเลือด ที่เชือดไหล
ละเลงสี แดงสาด ระบาดไกล
ทั่วไผท จบดิน สิ้นปฐพี

๏ เมื่อถึงคราว เผ่าไท ละลายแหลก
จึงแบ่งแยก เลือดไทย เป็นหลายสี
เหลืองอุบาทว์ ชาติเชื้อ อสุรี
แดงรวี เปลวไฟ บรรลัยกัลป์

๏ วะวะเหวย เหวยฟ้า เคยปราศัย
แล้วไฉน ทิ้งข้า ให้อาสัญ
กุลีไพร่ ทั่วหล้า ต้องจาบัลย์
เพราะต่ำชั้น เกินไป ฤาใช่คน

๏ ทั่วแผ่นดิน ผืนฟ้า นภากาศ
ดารดาษ ฉาบแดง ทุกแห่งหน
ทุกแว่นแคว้น แดนดิน ถิ่นสกล
ประชาชน ย่อมใหญ่ กว่าใครปวง

๏ ต่อแต่นี้ ถึงครา ข้าลิขิต
จะรักษ์สิทธิ ศักดา ที่ข้าหวง
จะสร้างดาว เคียงกัน เป็นล้านดวง
เพื่อตามทวง ประชา ธิปไตย

๏ เมื่อแผ่นดิน ไร้ธรรม ที่พร่ำบอก
แค่เล่ห์หลอก ลวงเล่น ให้เป็นไพร่
เมื่อความแตก แยกชัด ถึงขัดใจ
จะเป็นตาย ไม่รู้ ต้องสู้กัน

วโรทาห์: 3 ธ.ค. 51