Tuesday, October 23, 2007

ตะกวดเฒ่า (หน้าแหลมฟันดำ)

๏ จกเอาไปป์ ใส่ยา ขึ้นมาคาบ
ทำพะงาบ สูบพลัน ควันโขมง
นั่งคิดวาง แผนชั่ว เป็นตัวโกง
กลัวเข้าโลง ไม่ถึง ซึ่งโลกันตร์

๏ หน้าก็แหลม ดังว่า หน้าตะกวด
เผยออวด ฟันดำ ทำเย้ยหยัน
นั่งวางท่า เย่อหยิ่ง เหมือนลิงจัณฑ์
ถ้อยจำนรรจ์ เน่าเหม็น เช่นอาจม

๏ พอพูดที เหมือนผี มันเจาะปาก
เที่ยวสำราก ขากถุย มาคุยข่ม
ทั้งถางถาก ปากเหม็น แทบเป็นลม
ใช้คารม คมคำ ทำแชเชือน

๏ อันสัญชาติ จิ้งจอก นั้นกลอกกลิ้ง
ยิ่งกว่าลิง หลอกเจ้า เขาทำเหมือน
ถึงจะแก่ หงำเหงอะ จนเลอะเลือน
สันดานเถื่อน เก่าก่อน บ่ห่อนคลาย

๏ เมื่อปีศาจ ฟันดำ ทำผยอง
หวังยึดครอง อำนาจ ที่มาดหมาย
ใช้เล่ห์กล ต่ำช้า พาวอดวาย
บ่อนทำลาย รากหญ้า ดังห่ากิน

๏ ถึงจบสิ้น ดินฟ้า ไม่ซาโศก
คนรกโลก อยู่ไป บรรลัยสิ้น
คอยมุ่งร้าย ประชา เป็นอาจิณ
ขอฟ้าดิน ลงทัณฑ์ ให้บรรลัย

วโรทาห์: ๒๓ ตุลาคม ๒๕๕๐

Friday, October 19, 2007

สี่เสายังรู้พลาด

๏ ใช่ว่าชาย โอ่อ่า อาชาชาติ
ใช่องอาจ เก่งกล้า มาจากไหน
เพียงท่องบ่น คุณธรรม ประจำใจ
เลยยิ่งใหญ่ กว่าเหล่า ชาวประชา

๏ หยิ่งทะนง หลงไหล ว่าใจภักดิ์
คิดว่าศักดิ์ สูงเยี่ยม เทียมเวหา
ทุกหมู่เหล่า รู้เช่น ว่าเป็นกา
พวกขี้ข้า นั่งวอ เขายอเยิน

๏ ใช่ว่าสูง เทียมฟ้า มาแต่เกิด
ใช่กำเนิด สูงส่ง เป็นหงส์เหิน
หลงคารม คมคำ เขาทำเพลิน
เลยแสร้งเมิน คำด่า ประชาชัง

๏ ตั้งสี่ขา คาอยู่ ยังรู้พลาด
อีกนักปราชญ์ ชั้นครู ยังรู้พลั้ง
แค่สี่เสา เน่าใน จะใกล้พัง
ฤาจะยั้ง ยืนยง คงกระพัน

๏ อายุขัย เหลือน้อย กระจ้อยริด
ยังไม่คิด แผ้วถาง ทางสวรรค์
เห็นแต่เดิน ดุ่มโด่ ไปโลกันตร์
ไม่เคยหัน นึกห่วง ถึงปวงชน

๏ พอทวยราษฎร์ แช่งด่า ถลาหลบ
ครั้นประจบ สบช่อง เลยล่องหน
ไว้วันดี ผีห่า มันมาดล
คงได้ยล ลูกป๋า มาครองเมือง

วโรทาห์: ๑๙ ตุลาคม ๒๕๕๐

Tuesday, October 9, 2007

สาส์นถึงผู้ที่อยู่แดนไกล (ฉบับที่ 2)

พลันที่ฤาษีเต่า หาญกล้าหักหาญพวกมันกันเอง ประกาศประลองยุทธวันที่ยี่สิบสามเดือนสิบสอง โดยมิปรึกษาผู้ใด พวกมันก็ถึงกับมองตากันปริบๆ แล้วลงดิ้นพล่านดั่งใส้เดือนถูกขี้เถ้า ยิ่งเมื่อวีรบุรุษไม่ได้ปูนบำเหน็จเป็นแม่ทัพบก พวกมันก็ถึงกับหัวใจแตกสลาย

ที่แท้พวกมันหวาดกลัวแสนยานุภาพของเรายิ่งนัก เกรงว่าหากถึงวันประลองยุทธ พี่น้องเรากรีธาทัพออกมาพร้อมกันทั่วทั้งแผ่นดิน พวกมันย่อมมิอาจรับมือ จึงจิกตีกันวุ่นวายกัดกันยิ่งกว่าสุนัข เพื่อหาเหตุเลื่อนวันประลองยุทธออกไป

เรื่องอัปมงคลเหล่านี้ข้ายังไม่อยากเล่าให้เจ้าฟัง ไว้รอฝุ่นควันจางลงแล้วข้าจะค่อยๆเล่าภายหลัง

มาถึงวันนี้หากไม่พูดถึงจอมกระบี่โผงผาง ท่านผู้เฒ่าซุนซามัก คงไม่ได้แล้ว นึกไม่ถึง เจ้าส่งคนผู้นี้มาถือธงนำหน้าพรรคเรา นับเป็นหมากที่แหลมคมยิ่ง วางลงไปข้าศึกถึงกับผงะ หงายหลังตกเก้าอี้ นึกไม่ถึงมีเรื่องเช่นนี้ ถือว่านอกเหนือความคาดหมายจริงๆ

เพียงสัมผัสกลิ่นอายท่านผู้เฒ่า เหล่าสุนัขรับใช้และโหงพรายก็ถึงกับกรีดร้องโหยหวน ประหนึ่งได้กลิ่นความตาย พลันท่านผู้เฒ่าปรากฎกายออกมาพวกมันก็ถึงกับแตกฮือวิ่งหนีตายไปคนละทิศละทาง คะเนว่าพ้นรัศมีสังหารของจอมยุทธเฒ่าแล้ว จึงหันกลับมาเห่าหอน วางท่าว่ามิเกรงกลัว แต่ยังคงเห่าไปถอยหลังไปรักษาระยะห่างไว้มิให้ท่านผู้เฒ่าเข้าใกล้ได้

เหล่าปีศาจร้ายล้วนรู้ซึ้งถึงพิษสงของท่านผู้เฒ่าดี เพราะต่างได้เคยลิ้มรสเพลงกระบี่ขี้บ่น ฟาดฟันไปบ่นไป เจ็บตัวไม่พอยังต้องเจ็บใจเพราะถูกบ่น ต้องเข็ดขยาดไปจนตาย ไม่คิดตอแยอีก

ว่าไปแล้วเส้นทางชีวิตบนถนนการเมืองของจอมยุทธซุนท่านนี้ ก็ช่างเหมือนกับเจ้าไม่น้อย ต่างถูกใส่ร้ายป้ายสีโดยพรรคกาลี ที่ร่วมมือกับพวกสื่อชั่ว ด้วยข้อหาทุจริตอันเลื่อนลอย ยิ่งกล่าวหาโดยไม่มีหลักฐานดุจเดียวกันแต่สุดท้ายราษฎรกลับรู้ว่าท่านนั้นบริสุทธิ์ยิ่งนัก

อันอาวุโสซุนท่านนี้ คนรักชอบก็มาก ที่ชิงชังก็มีไม่น้อย ยังนับว่าโชคดีพี่น้องเราจิตใจกว้างขวาง เพื่อบ้านเมืองแล้ว แม้ชิงชังแค่ไหนยังยอมปล่อยวาง แม้คนที่เคยมีความแค้นต่อกันยังยอมเลิกรา ไม่คิดถือสา นับว่าน่านับถือยิ่ง ส่วนตัวของท่านผู้เฒ่าเองยิ่งมิเคยพยาบาทผู้ใด

ในสถานการณ์เช่นนี้ สมควรใช้จอมยุทธฝ่ายบู๊เข้าพิชิตศึก ยังมีผู้ใดเหมาะสมเท่าท่านผู้เฒ่าซุนอีก เมื่อต้องเผชิญหน้าขั้นแตกหักกับเหล่าอสูรร้ายที่รวมหัวกันเข่นฆ่าผู้คนไร้ความปราณี มีแต่เพลงกระบี่สังหารกำราบอธรรม ของท่านจอมยุทธโผงผาง จึงจัดการกับพวกมันได้

แม้ท่านผู้เฒ่าจะชราไม่น้อยแล้ว ในวัยนี้สมควรต้องพักผ่อนให้มาก แต่เพื่อเห็นแก่ราษฎร ยังไงต้องขอเอาเปรียบท่าน รบกวนให้ออกหน้า นำพาเหล่าจอมยุทธธรรมะ กวาดล้างฝูงปีศาจให้ราบคาบเสียก่อน เมื่อเสร็จศึกแล้วจึงเปลี่ยนให้ท่านไปพักผ่อน ปล่อยให้จอมยุทธฝ่ายบุ๋นออกมาสร้างบ้านแปลงเมืองต่อไป

พวกมันไม่ยอมเลิกราจริงๆ สองวันก่อนยังส่งคนเข้ามาในหมู่บ้านข้า เรียกคนไปชุมนุม แล้วสั่งสอนให้รู้จักประชาธิปไตย ทั้งให้รู้จักแยกแยะคนดีคนชั่ว สรุปก็คือด่าเจ้าให้พวกข้าฟัง พรรณนาความผิดของเจ้าอย่างยืดยาว เพื่อให้พวกเรารวมหัวกันเกลียดชังเจ้า ข้าฟังแล้วขัดใจนัก จึงได้ลุกขึ้นตอบโต้มันไปหลายคำว่า

ข้านั้นแม้ร่ำเรียนมาน้อย แต่ยังพอรู้จักแยกแยะดีชั่ว ไม่จำต้องให้ผู้ใดมาสั่งสอน ยังมีบุพการีสอนสั่งให้รู้จักกตัญญูรู้คุณคน รู้จักว่าบุญคุณต้องทดแทน แค้นยังพออภัย

ข้อหาของเจ้าก็เป็นเรื่องของเจ้าผิดถูกให้ตุลาการที่เที่ยงธรรมเป็นผู้ชี้ขาด ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของข้าไปช่วยตัดสิน แต่ความดีของเจ้าที่ช่วยเหลือพวกข้า แม้ตายยังมิอาจลืมเลือน

ในเมื่อเจ้าออกหน้าช่วยเหลือพวกข้า แม้ไม่ได้ช่วยเหลือข้าโดยตรง เพียงแต่ช่วยเหลือพี่น้องข้าก็เหมือนช่วยเหลือข้า แล้วข้าจะเกลียดชังเจ้าได้อย่างไร

อย่าว่าแต่ผู้มีบุญคุณอย่างเจ้า แม้แต่ผู้ที่ไม่เคยดีต่อข้า ความผิดก็ชัดแจ้ง ถูกศาลตัดสินลงโทษแล้ว ข้ายังไม่เคยไปคิดชิงชังพวกเขา ในเมื่อเขาถูกลงโทษตามกฎหมายบ้านเมืองแล้ว ธุระอะไรของข้าต้องตามไปลงโทษเพิ่มเติมอีก หากทำเช่นนั้น ใยมิใช่ตั้งศาลเตี้ยตามอำเภอใจหรือ

เจ้ายอมเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย ต่อสู้กวาดล้างเหล่าคนพาลผู้มีอิทธิพล ฝากรอยแค้นไว้ให้พวกมันมากมาย พาครอบครัวตัวเองเข้าไปอยู่ในอันตราย เพื่อให้พวกข้าอยู่เย็นเป็นสุข หากข้าไม่ปกป้องเจ้า ยังขับไล่ใสส่งออกไปกลางถนน ให้พวกเดนคนมันแก้แค้น ข้ายังสมควรเป็นคนอยู่หรือ

เรื่องเลือกตั้ง ข้าเองก็เคยลงติ้วเลือกตั้งไปหลายครั้ง ข้ายังไม่เคยสนใจว่าผู้อื่นเลือกเหมือนข้าหรือไม่ แต่เหตุใดพวกมันต้องมาชี้นำให้ข้าเลือกคนนั้น ไม่เลือกคนนี้ นี่เป็นประชาธิปไตยแบบไหนกัน

แม้ข้าโง่เขลายังพอรู้ว่า ประชาธิปไตยใช่ว่าเป็นการปกครองของคนฉลาด ทุกคนมีหนึ่งเสียงเท่ากัน หาแบ่งแยกชนชั้นไม่ เมื่อเป็นเช่นนั้น จะยังไงข้าก็ยืนยันขอตัดสินใจกำหนดชะตาชีวิตของข้าเอง

พลันข้าพูดจบพี่น้องข้าต่างตบมือชมเชย ทำให้หัวใจข้าพองโต จนหน้าอกยืดขึ้นอีกหลายนิ้ว ส่วนพวกมันก็ถึงกับนิ่งอึ้ง สีหน้าเหมือนไม่ได้ขับถ่ายมาหลายวัน หากเป็นเมื่อเดือนก่อน พวกมันต้องไม่ปล่อยข้าเอาไว้แน่ เพียงแต่ตอนนี้หัวหน้าของพวกมันหมดวาสนาไปแล้ว ข้าจึงพอจะขึ้นเสียงได้บ้าง

ทุกครั้งที่เอ่ยถึงเจ้าให้พี่น้องเราได้ยิน หยาดน้ำตาก็เอ่อท้นเบ้าตาของพวกเขา ข้าไม่อยากเห็นน้ำตาของพี่น้องข้า ยิ่งไม่ต้องการรับรู้ถึงความทุกข์ระทมของพวกเขา แต่พวกเขาก็ชมชอบมาลอบอ่านสาส์นที่ข้าเขียนถึงเจ้า แล้วไปแอบหลั่งน้ำตา ยังบังคับให้ข้าเขียนอีก แล้วกำชับให้ส่งให้พวกเขาอ่านก่อนทุกครั้ง

เกื้อกูลต่อกันย่อมก่อเกิดไมตรี เมื่อมีไมตรีจึงผูกพัน ผูกพันย่อมคิดถึง ความคิดถึงนั้นเกาะกินหัวใจอยู่ทุกคืนวัน เฝ้าครุ่นคิดคำนึงมิรู้วาย ใจหนึ่งอยากสลัดทิ้งไป แต่อีกใจหนึ่งกลับอยากเก็บไว้จดจำ บางครั้งข้าก็นึกอยากชิงชังเจ้านัก หากทำเช่นนั้นได้ ข้าคงไม่ต้องมาแบกรับความขมขื่นเฉกเช่นทุกวันนี้

คงเป็นเพราะว่าพวกเรามีวาสนาต่อกันมาแต่ชาติปางก่อน จึงได้มาเกื้อกูลกันในชาตินี้ แม้เจ็บปวดเพียงใดพวกเรายังต้องอดทน มีแต่พวกเรากลมเกลียวกันไว้จึงฝ่าฟันพายุร้ายลูกนี้ไปได้ เจ้าจงวางใจ ถึงอย่างไรพวกข้าไม่ทอดทิ้งเจ้า ยิ่งหวังว่าเจ้าก็ไม่ทอดทิ้งพวกข้าดุจเดียวกัน

ฟ้าดินจงเป็นพยานวันนี้ข้า วโรทาห์ ขอบังอาจเป็นตัวแทนพี่น้อง ประกาศต่อฟ้าดินว่า นับจากวันนี้ พวกข้าขอสาบานเป็นพี่น้องกับเจ้า ต่อไปภายหน้ามีสุขร่วมเสพย์มีทุกข์ร่วมต้าน เราจักผนึกกำลังกันทั่วทั้งแผ่นดินเพื่อทวงคืนอำนาจของเรา เราจักไม่ทอดทิ้งกันตราบชั่วฟ้าดินสลาย...

ตัวหนังสือที่ข้าเขียนเส้นอาจจะบางไปบ้าง เป็นเพราะข้าต้องใช้น้ำหมึกอย่างพอเพียง จึงต้องลำบากเจ้าเพ่งสายตาอ่านเอาหน่อย... นึกไม่ถึง ขิงเฒ่ามาดูแลบ้านเมืองหนึ่งปี ทำข้าจนลงไปอย่างน่าประหลาด แม้แต่เงินซื้อน้ำหมึกยังไม่มี

เฮ่ย... ซวยจริงๆ หนึ่งปีผ่านไป ทำการงานสิ่งใดไม่สำเร็จสักอย่าง จำเพาะมาทำสำเร็จเรื่องหั่งเช้งพอเพียงเรื่องเดียว เวลานี้ราษฎรทั่วทั้งแผ่นดิน ได้อดอยากกันถ้วนหน้า มิพอเพียงยังต้องพอเพียงแล้ว

แต่เจ้าไม่ต้องกลัว ข้ายังเหลือกระบือแก่ๆอยู่อีกหนึ่งตัว ขายไปคงได้เงินหลายอีแปะ ข้าสัญญาว่าหากขายได้จักเจียดเงินไปซื้อน้ำหมึกมาเพิ่มเติม เพื่อขีดเขียนเส้นหนาขึ้นอีกสักหน่อย คงช่วยให้เจ้าอ่านสบายตาขึ้นมาไม่มากก็น้อย

วันนี้ข้าต้องพอก่อน ฝากบอกฮูหยินดูแลเจ้าให้ดีด้วย เพื่องานใหญ่ของเราในภายหน้า ส่วนเจ้าเองก็ต้องรักนางให้มาก ไม่ว่าอย่างไรห้ามทำให้นางเสียใจโดยเด็ดขาด หากวันใดให้ข้ารู้ว่าเจ้ารังแกนางละก็ ข้าต้องไม่ปล่อยเจ้าเอาไว้แน่

พี่น้องเราล้วนอยากส่งสาส์นถึงเจ้า หากแต่พวกเขาไม่สะดวกที่จะเขียนสาส์นเอง จึงขอร่วมลงชื่อในท้ายสาส์นของข้า เจ้าก็ดูเอาเองแล้วกัน ว่าพี่น้องเรามีอยู่มากมายเพียงใด

วโรทาห์: ๙ ตุลาคม ๒๕๕๐

Saturday, October 6, 2007

สะพรั่งกำสรวล

๏ โอ้สะพรั่ง นั่งเหงา ดูเศร้าหมอง
น้ำตานอง อาบหน้า พาอับเฉา
ถูกอ้ายแขก เพื่อนรัก มันหักเอา
นั่งหน้าเศร้า เปล่าเปลี่ยว อยู่เดียวดาย
๏ เคยแต่ควง ปืนจริง ออกยิงหมา
พอย้ายมา ตบยุง มันยุ่งหลาย
เพราะมันปาก ตลอด เลยวอดวาย
แสนเสียดาย ยศนี้ ที่หมายปอง
๏ เมื่อยามสิ้น วาสนา ชะตาขาด
หมดอำนาจ วาสนา คราสยอง
เคราะห์ก็ซ้ำ กรรมร้าย มาก่ายกอง
ตกกระป๋อง ยกแก๊งค์ เข้าแก่งคอย
๏ ทั้งเพื่อนลิ้ม เพื่อนวิด ก็หวิดม้วย
ดันมาช่วย เพื่อนพรั่ง ที่นั่งหงอย
ทวงตำแหน่ง ผบ. ที่หลุดลอย
เลยถูกสอย ลอยร่วง เข้ารวงรัง
๏ ก่อนเคยยอบ นอบนบ เข้าซบป๋า
หวังได้้มา ให้คุณ คอยหนุนหลัง
ป๋าก็ยัง นั่งเฉย มันเลยพัง
ปล่อยสะพรั่ง นั่งงง เฝ้าสงกา
๏ ถ้าเจองู เจอแขก ให้ตีแขก
แต่ทั้งแขก ทั้งงู ไม่สู้ป๋า
ถ้าเจอป๋า เจอแขก เดินแถกมา
พรั่งตีป๋า ก่อนแขก อย่าแปลกใจ

วโรทาห์: ๖ ตุลาคม ๒๕๕๐

!!! ขอแซวอีกแค่ครั้งเดียวแล้วเลิกนะพี่พรั่งนะ !!!

Wednesday, October 3, 2007

สาส์นถึงผู้ที่อยู่แดนไกล



นับเป็นเวลาเนิ่นนานมาแล้วที่ข้าไม่ได้ขีดเขียนถึงเจ้า คิดไม่ถึง ล่วงเลยวันอัปมงคลที่สิบเก้าเดือนเก้าแล้วจึงมีโอกาสเขียนมาอีกครั้งหนึ่ง นี่ก็นับว่าครบรอบหนึ่งปีแล้วที่โจรถ่อยยกพวกเข้าปล้นแผ่นดินของเรา ทำให้เจ้าต้องจากไปอยู่แดนไกล

เวลาหนึ่งปีภายใต้เงื้อมมือมหาโจรก่อเกิดเรื่องราวมากมาย เป็นเวลาหนึ่งปีที่แสนทุกข์ยาก พวกโจรมิเคยคิดเหลียวแลทุกข์สุขของราษฎรแม้แต่น้อย กลับทุ่มเทสรรพกำลังเพื่อกำจัดเจ้าให้สิ้นซาก วาดหวังให้ราษฎรทั้งแผ่นดินหันมาสมานฉันท์ รวมหัวกันเกลียดชังเจ้าแต่ผู้เดียว

ช่างเป็นความคิดที่โง่เขลานัก เพียงเพื่อกำจัดคนคนหนึ่งมันถึงกับทำลายบ้านเมืองพินาศย่อยยับ เหตุเพราะมันไม่เห็นหัวราษฎรพี่น้องเราจำนวนมหาศาลที่หนุนหลังเจ้าอยู่ ยังคิดกำจัดให้หมดสิ้นไปพร้อมเจ้า

สุดท้ายพวกเรานอกจากไม่ตายยังกลับกล้าแข็งขึ้น พวกมันยิ่งนับวันยิ่งกลัดกลุ้มจนด่าทอกันเอง จิกตีกันดุจดังไก่ในเข่งยามตรุษจีน

เป็นเพราะมันไม่เห็นพวกเราอยู่ในสายตา ดูแคลนราษฎรว่าโง่เขลา ถูกเจ้าซื้อหาด้วยเงินตรา จึงทำให้พวกมันคาดการณ์ทุกอย่างผิดเพี้ยนไปหมดสิ้น มันคิดว่าราษฎรหาได้ผูกพันกับเจ้าไม่ เป็นเพียงชื่นชอบในเงินตราของเจ้า

พวกมันล้อเล่นกับศรัทธาของราษฎร จึงใช้ศรัทธาของพวกเขามาทุ่มเทบดขยี้เจ้า ศรัทธาในการยุติธรรม ศรัทธาในสื่อสารมวลชน ศรัทธาในสถาบันวิชาการ และแม้แต่ศรัทธาในตัวบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายกลับถูกนำมาใช้จนหมดสิ้น

ยังมีคนบางคนถึงกับชักใยอยู่เบื้องหลังโจรชั่ว เมื่อโจรปล้นสำเร็จ คิดว่าราษฎรชื่นชม ถึงกับรีบเสนอหน้าออกมารับความดีความชอบ คาดไม่ถึงถูกราษฎรสาปแช่งต้องรีบหดหัวกลับไป ต่อมากลับพลิกลิ้นปฏิเสธไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับพวกโจร

ศรัทธานั้นเปราะบางนัก สร้างก็แสนยาก รักษาไว้ยิ่งยากกว่า เพียงเดินผิดพลาดไปก้าวเดียว ศรัทธาที่สั่งสมมาหลายสิบปีก็พลันมลายหายไปในชั่วพริบตา
ศรัทธาของผู้คนใช่ว่านำมาใช้ส่งเดช หากถูกนำมาใช้เพื่อทำลายล้าง ศรัทธาย่อมเสื่อมสลายลงอย่างรวดเร็ว

รักชอบอาจแปรเปลี่ยนเป็นศรัทธา แต่ศรัทธาที่เสื่อมถอยแล้วไม่อาจหวนกลับไปเป็นความรักได้ มีแต่แทนที่ด้วยเคืองแค้นและเกลียดชัง ยังอาจลุกลามเป็นวิกฤติศรัทธา จนหักโค่นลงได้ ต่อให้ใช้ทรัพย์แผ่นดินไปมากมายป่าวประกาศเรียกศรัทธากลับคืน ยังคงไม่เป็นผล

ผู้เฒ่ากาลีบ้านกาลีเมืองทั้งหลายที่เคยโก่งคอขันเจื้อยแจ้วทุกเช้าเย็น บัดนี้สุ้มเสียงกลับแหบพร่า เสียงพูดเปรียบไปดั่งผายลมไร้ผู้คนนำพา

คิดขึ้นมาแล้วแค้นใจนัก นึกถึงมันกระหน่ำตีครอบครัวเจ้าอย่างต่ำช้าแล้ว พวกข้าต่างเจ็บแค้นแทนเจ้าอย่างยิ่ง แม้แต่เด็กเล็กมันยังไม่ละเว้น พวกมันตีเจ้าหนึ่งทีก็เหมือนตีพวกข้าหนึ่งที เจ้าเจ็บพี่น้องเรายิ่งเจ็บกว่า แค้นใจที่มิอาจออกหน้าช่วยเหลือเจ้าในยามคับขัน ได้แต่กล้ำกลืนเก็บไว้ในใจรอวันสะสาง

พูดถึงฮูหยินของเจ้า นางก็ช่างองอาจนัก คิดไม่ถึง อิสตรีอ่อนหวานนางหนึ่งหาญกล้ายืนสู้ตามลำพังในท่ามกลางฝูงอสุรกายกระหายเลือดอย่างทระนง ท่วงท่าสง่างามดั่งพญาหงส์ เยือกเย็นดุจนางสิงห์ แม้ปีศาจร้ายยังมิอาจไม่ครั่นคร้าม สมแล้วที่ถือกำเนิดจากตระกูลนักรบผู้กล้า

นับว่าเป็นวาสนาของเจ้าโดยแท้จึงมีฮูหยินที่ประเสริฐเยี่ยงนี้ เห็นนางยืนสู้เคียงบ่าเคียงไหล่เจ้าเสมอมามิเคยออกปากบ่นแม้แต่น้อย ถึงเจ้าไม่เอ่ย พวกเรายังรู้ได้ว่าเจ้ารักนางเพียงใด

ฟ้าดินเมตตา บัดนี้ครอบครัวของเจ้าก็ได้ไปอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาในที่ปลอดภัยแล้ว พวกข้าจึงค่อยวางใจ นับจากนี้ไปก็ถึงเวลาที่พวกเราจักได้สะสางกับพวกโจรชั่วแล้ว

บัดนี้กองกำลังพี่น้องเรานับสิบล้านซ่องสุมกันอยู่ทั่วแผ่นดิน พวกมันได้กลิ่นแต่ไม่อาจมองเห็นตัว ถึงกับหวาดกลัวราวกับสุนัขได้กลิ่นสาปเสือ คิดอ่านขอเลื่อนวันประลองยุทธออกไป แต่ถึงอย่างไรช้าเร็วพวกเราก็ต้องยึดอำนาจของเรากลับคืนมาจนได้

พวกเราความรู้ต้อยต่ำร่ำเรียนได้ครึ่งๆกลางๆ รู้จักหนังสือเพียงไม่กี่ตัว แม้หากวันหน้ายึดอำนาจกลับมาได้ก็จัดการไม่เป็น ไม่ว่าอย่างไรคงต้องรบกวนเจ้ากลับมาอีกครั้งหนึ่ง

ถึงเวลานั้นเจ้าคิดบ่ายเบี่ยงก็คงไม่ได้แล้ว ที่ผ่านมาเจ้าไม่ออกหน้า นำพาพวกเราต่อสู้กับพวกโจรเราไม่ถือสา ยังลอบกินส้มตำไก่ย่างอยู่แดนไกลไม่แบ่งปันพวกเรา ไม่มีใครคิดตำหนิเจ้าแม้สักครึ่งคำ ย่อมนับว่าได้อ่อนข้อให้เจ้ามามากแล้ว

พูดแล้วอับอายยิ่ง ข้ามีความในใจเล็กน้อยใคร่บอกเล่าให้เจ้าฟัง เจ้ารู้แล้วก็จงอย่าได้แพร่งพรายต่อไปอีก

ข้านั้นยิ่งมองแม่นางหลีเดี่ยคราใดยิ่งเห็นนางงดงามจับใจข้านัก ยังคิดขอร้องอาโอ๊คให้หลีกทางให้ข้าก่อนเพราะข้านั้นแก่แล้ว จากนั้นหวังไหว้วานเจ้าให้เป็นพ่อสื่อสักครั้ง

เสียดายมารู้ว่านางมีคู่หมายแล้ว จึงได้แต่เพียงคิดมิอาจตอแย แต่ถึงอย่างไร คนต่ำต้อยเยี่ยงข้าได้มีสิทธิวาดฝันตามใจปรารถนา เพียงแค่นี้ก็นับว่าสุขยิ่งแล้ว

สาส์นนี้ข้าต้องลักลอบขีดเขียนในยามค่ำคืนภายใต้แสงจันทร์ที่สาดส่องผ่านหน้าต่างเข้ามาในห้องนอนข้า

นี่ก็ใกล้เวลายามสาม ข้าคงต้องรีบเข้านอนแล้ว อีกครู่หนึ่งจะมีทหารผ่านมาตรวจตราในหมู่บ้าน หากถูกพวกมันจับได้ว่าติดต่อกับเจ้า ข้าคงมีภัยถึงชีวิต ถ้ายังไงเจ้าอ่านจบแล้วก็ขอให้ทำลายมันเสีย ไว้วันหน้าข้าจักเขียนมาใหม่

พี่น้องเราล้วนคิดถึงเจ้ายิ่งนัก หวังว่าได้กลับมาพบกันในเร็ววัน ยังฝากบอกให้เจ้าดูแลสุขภาพด้วย…

วโรทาห์: 1 ตุลาคม 2550

Tuesday, October 2, 2007

สะพรั่งผู้คั่งแค้น

๏ โอ้สะพรั่ง คั่งแค้น มันแสนคลั่ง
จะลุกนั่ง ยังแค้น มันแสนเข็ญ
เมื่อผบ. ทบ. ก็กระเด็น
ไม่ได้เป็น ผบ. มันท้อแท้
๏ ถือว่าเป็น รุ่นพี่ มาซี้ซั้ว
นึกว่ากลัว หรือไง ไอ้บังแหล
เดี๋ยวฟันศอก ตอกลง ตรงหน้าแง
เอาให้แถ ไถกลิ้ง เป็นกิ้งกือ
๏ ร่วมเสี่ยงเป็น เสี่ยงตาย ทำลายชาติ
อาละวาด เผาเมือง จนเลื่องชื่อ
ถึงถูกด่า จนอ่วม ยังร่วมมือ
กลับไม่ซื่อ ต่อกัน มันช้ำทรวง
๏ อย่าหาว่า งั้นงี้ เลยพี่ยุทธ
พี่ก็สุด เฉื่อยชา เหมือนหมาง่วง
เรื่องแค่นี้ ให้น้อง ต้องตามทวง
ไม่นึกห่วง น้องพรั่ง จะคลั่งตาย
๏ เรื่องบนเขา ยายเที่ยง มันเลี่ยงยาก
คงลำบาก พี่ยุทธ ต้องมุดหาย
เป็นฤาษี กลิ้งกลอก ทำออกลาย
แง้มตะกาย ฝาโลง มาโก่งคอ
๏ ต้องแป๊ะลิ้ม คนนี้ ไม่ซี้ซั้ว
ถึงจะมั่ว อย่างไร ยังใช้ปร๋อ
ขอให้มัน มียัด อย่าขัดคอ
ถ้าได้ล่อ ซิงซิง มันยิ่งฮา
๏ คราวนี้พัง บังแย่ ถึงแน่นิ่ง
กูจะยิง ให้กลิ้ง เหมือนยิงหมา
ให้สงค์สุ่น ฟันดำ ขย้ำคา
ให้บักห่า บันวิด มันขวิดลึงค์
๏ ไอ้ผีแขก คราวนี้ มึงซี้แน่
กูจะแหย่ ให้หลับ แล้วจับขึง
เอาตะปู เจ็ดดอก มาตอกตรึง
คราวนี้มึง ตายแน่ ไอ้แม่เฮ็ด

วโรทาห์: ๒ ตุลาคม ๒๕๕๐