Thursday, March 24, 2011

รัฐบาลเทพ(รับ)ประทาน

สะบักสะบอมจนแทบไม่เหลือสภาพเป็นผู้เป็นคน แต่ยังอุตส่าห์ลากถูลู่ถูกัง..ไปต่อกันจนได้ เหนือคำบรรยายจริงๆสำหรับรัฐบาลลูกเทวดา ที่หน้าด้านหน้าทนเกินกว่าที่มนุษย์เดินดินกินข้าวแกง อย่างเราๆท่านๆจะจินตนาการได้

ก็ขนาดลากไส้ออกมากองกลางสภาเป็นขดๆ มันยังดิ้นกระแด่วๆ แถกเหงือกกระเสือกกระสนเอาตัวรอดไปน้ำขุ่นๆ ไม่อายฟ้า ไม่อายดิน

"ประเทศไทยโชคดีที่ได้อภิสิทธิ์เป็นนายกฯ...คนนี้ผมเชียร์"

นึกถึงคำๆนี้ขึ้นมาทีไร มันให้เจ็บหัวใจจี๊ดๆ อยากเขกกะโหลกเจ้าเฒ่าจอมเชียร์แขก ที่นานทีปีหนจะปล่อยดอกพิกุลร่วงลงจากเรียวปากสัก 2-3 กลีบ แต่ถ้าหลุดออกมาเมื่อไหร่ เป็นอันรับประกันได้ว่า ต้องเน่าคลุ้งส่งกลิ่นเหม็นโชย จนอ้วกแตกอ้วกแตนไปทั่วบ้านทั่วเมือง

ก่อนหน้านั้นไม่นาน ก็เจ้าเฒ่าหนึ่งเดียวคนนี้นี่เอง ที่เรียกเสียงฮือฮาจากการรับจ๊อบออกแขกให้นายกฯลากตั้งคนก่อน ด้วยวลียอดฮิตที่ว่า "คนๆนี้ยกมือไหว้ได้อย่างสนิทใจ"

เล่นเอาพ่อยกแม่ยกที่หลงไหว้เข้าเต็มเปา ต้องวิ่งแจ้นไปล้างมือแทบไม่ทัน โถ...นึกว่าคนดิบคนดีมาจากไหน ที่แท้ก็"เฒ่ายุทธเขายายเที่ยง" คนที่อมภูเขาเป็นลูกๆแข่งกับนายมัน คนนั้นนั่นเอง

มาถึง"รัฐบาลเทพประทาน" ที่จัดแจงแปลงกายเป็น "รัฐบาลเทพ(รับ)ประทาน" ไปในชั่วพริบตา หลังจากที่บุญพาวาสนาส่ง ท.ทหารอดทนอุ้มกระเตงใส่ตะกร้าล้างน้ำ แบกขึ้นวอไปนั่งแท่นกินบ้านกินเมืองได้ไม่นาน เรียกว่าตดยังไม่ทันหายเหม็น กฎเหล็ก 9 ข้อยังท่องจำได้ไม่หมดด้วยซ้ำไป

"ไม่มีอะไรภายใต้ดวงอาทิตย์นี้ ที่เราแหลกม่ายล่าย" กลายเป็นสโลแกนท็อปฮิตติดชาร์ท สำหรับรัฐบาลผสม เสือสิงห์กระทิงแรด เหี้ยห่าสารพัดสัตว์ ที่สวาปาล์มกันไม่เลือก ตั้งแต่ปลากระป๋องเน่า นมบูด ไปจนถึงรถถังซังกะบ๊วย เรือเหาะเซียงกง ยันไม้ส่องผี "จีที-200"

แล้วอย่างนี้ยังมีอะไรอีกที่...เราม่ายล่ายแหลก

หลังจากที่อดอยากปากแห้งมานานแสนนาน ก็ถึงเวลาของบุฟเฟ่ท์คาบิเน็ต 30% อ๊อฟ ใครใคร่ยัด..ยัด ใครใคร่แดก..แดก เอากันให้พุงปลิ้น ฟาดกันให้ปากมัน ล่อแม่มันกลางวันแสกๆ ไม่ต้องกลัวใครพบ ไม่ต้องกลัวใครเห็น พ่อกูใหญ่ซะอย่าง ชาวบ้านจะไปทำอะไรได้ นอกจากยืนมองทำตาปริบๆ

ไหนๆก็ไหนๆแล้ว น่าจะจัดสอบชิงทุน สปก.4-01 อีกซักกระทอก ให้มันลือลั่นไปชั่วลูก หลาน เหลนซะ ให้รู้แล้วรู้รอด

แต่ถึงยังไง ผลงานการงาบระดับนี้ ก็ต้องถือว่าเข้าขั้นเทพ อย่างไม่มีข้อสงสัย ว่ากันว่า ถึงขนาดทำลายสถิติตลอดกาลของตอแหลแลนด์อย่างย่อยยับ กินขาดทุกรัฐบาลที่ผ่านมา ไม่เว้นแม้แต่รัฐบาลเผด็จการทหาร ซึ่งถือเป็นจอมงาบระดับตำนานของโลกมาทุกยุคทุกสมัย

ไม่ต้องไปหาใบส่งใบเสร็จให้มันเมื่อยตุ้ม อภิมหากาพย์การงาบระดับนี้ ย่อมไม่ใช่เรื่องยากที่ประชาชนจะสามารถจับต้องได้ด้วยตัวเอง สุดยอดผลงานขนาดนี้ย่อมบาดลึกไปถึงกึ๋น และเจ็บกว้างไปทุกหย่อมหญ้า

แม้สื่อขี้ข้าทั้งหลายจะพยายามเจือจางด้วยน้ำยาขัดโถส้วมยี่ห้อ "คุณชายสะอาด" แต่ประชาชนที่ไม่ได้บริโภคหญ้าเป็นอาหารหลัก ย่อมมีวิจารณญาณพอ ที่จะชี้ขาดได้ว่า อะไรเป็นอะไร

"คุณชายสะอาด" ของสื่อตอแหล จึงกลายเป็น "คุณชายมอมแมม" ของประชาชน โดยไม่ต้องอาศัยการโฆษณาชวนเชื่อ แม้แต่น้อย

นับเป็นความชาญฉลาดของระบอบอำมาตย์ ในการเลือกเฟ้นนกกระสามาปกครองฝูงกบในสระน้อย คุณไม่ต้องพกความทะเยอทะยานอยากมา เพราะพวกเผด็จการมีมันมากพออยู่แล้ว ขอเพียงคุณมีความง่าน ถึงขนาดอยากเป็นนายกฯจนตัวสั่น และตอแหลลงตับขนาดได้โล่ห์ยิ่งดี แค่นี้คุณก็เป็นนายกฯของเราได้ อย่างสบายๆ

นอกจากชวนป๋วยเป่าปี่กู ผู้ไม่เคยเลี้ยงกาแฟใครแล้ว กราดสายตาไปทั่วทั้งปฐพี ยากที่จะหาผู้ใดส่องประกายรัศมีตอแหลเจิดจ้า แม้เพียงเศษเสี้ยวของมาร์คได้ จึงไม่ใช่เรื่องแปลก ที่สุดท้ายแล้วเขาจะพบสัจธรรม หลังจากที่ดิ้นรนมาแทบตายว่า ถ้าคุณมีโทษสมบัติพร้อม ประตูสู่นายกฯ ก็ไม่ไกลเกินไปกว่าประตู "ร้านราบ 11"

จากหนุ่มนักเรียนนอกไฟแรง ที่ถูกตาเฒ่าชวนไล่ให้กลับไปดูดนม ก่อนมาแสดงความคิดเห็นสวนทวารผู้หลักผู้ใหญ่ หลังจากนั้นก็ไม่มีใครรู้ว่า เขาแอบไปดูดนมอะไรมา ถึงได้มีอินทรีย์แก่กล้าทันตาเห็น ชนิดที่ซาตานยังขยาด ปีศาจยังต้องชิดซ้าย ถ้าศรีธนญชัยไม่หักหลบลงคู เป็นได้โดนบี้แบนติดถนน อย่างไม่ต้องสงสัย

ชีวิตในวัยเยาว์ของเขา ก็ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ เหมือนรถปิคอัพทั่วๆไป ที่มีความใฝ่ฝันอันบรรเจิดว่า เมื่อโตขึ้นเขาจะเป็นรถบรรทุก ไม่ใช่เพราะว่ารถคันใหญ่บรรทุกได้มาก ทำประโยชน์ได้เยอะ แต่หลักใหญ่ใจความอยู่ที่ว่ามันเท่ห์ดี เป็นศักดิ์เป็นศรีแก่วงศ์ตระกูล

ด้วยโทษสมบัติ โกหกน้ำไหลไฟดับ อันเป็นพรนรกที่มีติดตัวมาแต่อ้อนแต่ออก เขาได้พัฒนาตัวเองจนก้าวขึ้นสู่ ความเป็นมนุษย์โพเดียม ที่ไม่มีการพูดเท็จอีกต่อไป

จากหลักปรัชญาที่ว่า ถ้าคุณโกหกได้มากพอ และด้วยอัตราความถี่ที่เหมาะสม คุณจะสามารถทำให้ตัวเองเชื่ออย่างสนิทใจ ว่ามันเป็นความจริง และเมื่อนั้นคุณจะไม่ใช่คนโกหกอีกต่อไป เพราะคุณจะพูดแต่ความจริงที่คุณเชื่อ และจะเชื่อทุกสิ่งที่คุณพูด

สุดท้าย คุณจะพบสัจธรรมอันน่าแปลกใจว่า คนทั้งโลกยกเว้นคุณ...ล้วนพูดเท็จเป็นอาจิณ

เมื่อคุณบรรลุธรรมถึงขั้นสุดยอด จนสามารถโกหกได้แม้กระทั่งตัวเองแล้ว ต่อไปไม่ว่าเรื่องชั่วช้าแค่ไหน คุณก็สามารถทำมันได้ โดยไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจแม้แต่น้อย แล้วอย่างนี้ ทำไมจะไม่ใช่เรื่องน่ายินดี ที่อำมาตย์ได้อภิสิทธิ์มาเป็นนายกฯ

และสองปีบนเก้าอี้อันยิ่งใหญ่ อภิสิทธิ์ก็ไม่เคยทำให้ประชาชนต้องผิดหวังแม้แต่น้อย นโยบายประชาวิบัติ ประชาชนต้องตายก่อน เปิดโอกาสให้ชาวบ้านตาดำๆได้สัมผัสกับปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงอย่างลึกซึ้ง ได้เรียนรู้อย่างเจ็บปวดว่า น้ำมันพืชหนึ่งขวดนั้น มันมีค่าขนาดไหน

ยายเมี้ยนคนขายกล้วยแขก เพิ่งได้สำเหนียกว่า การทอดกล้วยแขกขายทุกวันนั้น ถือเป็นการละโมบอย่างไม่น่าให้อภัย ภายใต้รัฐบาลนี้ แกจึงต้องรู้จักกระเหม็ดกระแหม่ ขายวันเว้นไป 2-3 วัน ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ตลาดโลกว่า จะมีน้ำมันปาล์มกระเส็นกระสายมาถึงมือแกเมื่อไหร่

เมื่อรัฐบาลที่อำมาตย์หวังฝากผีฝากไข้ ให้ช่วยกวาดต้อนประชาชนกลับเข้าคอกตามเดิม กลับเปิดฉากรุกไล่อย่างหนัก ทำให้พวกเขาต้องถอยร่นไปจนสุดซอย งานนี้จึงมีทีท่าว่าจะดูไม่จืด เมื่อมหาชนหันกลับมาตั้งป้อมเผชิญสู้ อย่างสุนัขจนตรอก

ระยะแรกพวกเขาอาจจะยังมะงุมมะงาหรา ทำให้ถูกฆ่าตายไป 91 ศพ บาดเจ็บร่วม 2,000 แต่ไม่นานประชาชนก็คลำทางถูก และเริ่มเปิดฉากตีโต้อย่างได้ผล ไม่ต้องใช้สไนเปอร์ ไม่ต้องมีแม้แต่หนังสติ๊ค ขึ้นชื่อว่ามหาชนย่อมน่าเกรงขามเสมอ แค่ขี่จักรยานเล่นเป็นกลุ่มก้อน ก็ทำเอาอำมาตย์ถึงกับนอนผวาไปแปดตลบแล้ว

เป้าหมายต่อไปคือด่าน 112 อันเป็นจุดสลบของระบอบอำมาตย์ ว่ากันว่า มันคือปราการด่านแรกที่ฝ่ายประชาชนต้องตีให้แตก แต่ขณะเดียวกัน มันก็เป็นปราการด่านสุดท้าย ที่ฝ่ายเผด็จการต้องรักษาไว้ให้มั่น

เมื่อทั้งสองฝ่ายจำต้องรุกไปข้างหน้า จึงมีความเป็นไปได้สูงว่า อาจจำต้องรบพุ่งประจัญบาน ถึงขั้นติดดาบปลายปืน เพราะว่าเดิมพันมันสูงอย่างไม่น่าเชื่อ

ถ้าไม่มีด่าน 112 ซะอย่าง ระบอบอำมาตย์ก็พังทั้งแถบ

วโรทาห์: 24 มี.ค. 54

Monday, February 28, 2011

เรื่องโง่ๆ ยังวางใจอำมาตย์ได้เสมอ

อะไรเอ่ย? ผู้คนเข้าๆออกๆอย่างกับห้างฯแต่ไม่ใช่ห้างฯ...คำตอบก็คือ "คุกประเทศไทย" ตายแลนด์ แดนแห่งคนตอแหล ในยุคที่มีนายกฯเป็นนอมินีทรราช คนที่มีสองสัญชาติแต่ถือสันดานเดียวคือ...สันดานขี้ข้าอำมาตย์

ตกฟากในประเทศแม่แบบประชาธิปไตย แต่ฝักใฝ่เผด็จการโคตรๆ

จะมียุคไหนสมัยใดอีก ที่คนไทยได้รับแจกตั๋วไปทัวร์ห้องกรงอย่างไม่บันยะบันยัง ดังเช่นยุคที่"พรรคประชาวิบัติ"ครองเมือง จ้างให้ก็ไม่มีวันนี้ ถ้าประเทศไทยไม่โชคดีได้อภิสิทธิ์มาเป็นนายกฯ และถ้าไม่ใช่รัฐบาลประชาธิปไตย ที่สุมหัวกันจัดตั้งในค่ายทหาร มีหรือที่เราจะได้โปรโมชั่นกินฟรี อยู่ฟรี

แถมยังพาทัวร์ขึ้นศาลลงศาลทั่วราชอาณาจักรเป็นระยะๆ โดยไม่ต้องควักเนื้อจ่ายเองแม้แต่บาทเดียว

อะไรไม่ว่า บริการนี้ยังอุตส่าห์มี 2 มาตรฐาน จัดการประเคนให้คนเสื้อแดงเป็นการเฉพาะ โดยไม่สนใจหางเหลืองที่ได้แต่ยืนสี่ขาทำตาปริบๆ ก็ขนาดว่า กรุ๊ปทัวร์ 7 นปช.ยังไม่ทันหมดโปรโมชั่นดี ลุงสุรชัยก็ได้วีซ่าฉายเดี่ยวเข้าเสียบแทน ชนิดทันทีทันควัน อย่างกับเตี๊ยมกันมา ยังไงยังงั้น

ฝ่ายหนึ่งออก ฝ่ายหนึ่งเข้า รับไม้ต่อกันอย่างพอดิบพอดีไม่มีขาดช่วง ถ้าจะบอกว่าเดินพาเหรดสวนสนามกันหน้าคุกเลย ก็คงจะไม่ผิด แล้วอย่างนี้ มีหรือที่จะไม่กลายเป็นขี้ปากให้ฮือฮาซี๊ดซ๊าด อ่านหมากกันยกใหญ่ ว่าอำมาตย์เล่นไม้นี้ มันจะมาไม้ไหน

ธรรมชาติของคนเสื้อแดงนั้น ย่อมใช้สมองมากกว่ากำลัง จึงเป็นเหตุให้คิดไม่ค่อยทันอำมาตย์ เพราะกระบวนการคิดของพวกเผด็จการนั้น มันเรียบง่ายสุดๆ ประดุจดังใช้หัวแม่เท้าคิดก็ว่าได้ คือนึกอยากจะทำอะไรมันก็ทำ เห็นอะไรแว๊บๆมันก็ตอบโต้ออกไปทันที โดยไม่ต้องคิดหน้าคิดหลังให้รอบคอบเสียก่อน

เป็นธรรมดาที่ว่า คนมีปืนย่อมใช้ปืนเป็นอาวุธหลัก คนมีอำนาจย่อมยึดเอาอำนาจเป็นสรณะ แล้วมีหรือที่อำมาตย์ซึ่งเพียบพร้อมทั้งอำนาจและปืน จะยังมัวมะงุมมะงาหลา ตุ้มต๊ะตุ้มตุ้ยลุยถั่ว ใช้ปัญญาเป็นอาวุธอยู่ได้

จะมีก็แต่ประชาชนมือเปล่าเท่านั้น ที่ด้อยโอกาสทางอำนาจ จึงจำต้องใช้สติปัญญามาต่อกรกับสไนเปอร์

อันมนุษย์เรานั้น ไม่ว่าจะคิดอ่านทำการสิ่งใด ก็มักจะเอาตัวเองเป็นตัวตั้งเสมอ คนฉลาดจึงมักจะคิดว่าคนอื่นฉลาดเหมือนตัว ในขณะที่คนโง่ก็คิดว่าคนอื่นคงโง่ไม่แพ้กันซักเท่าไหร่ ไม่งั้นมีหรือที่พวกอำมาตย์ จะเดินแผนผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำอีก จนทำให้มีวันนี้จนได้

วันที่โคตรอำมาตย์ต้องมาลุ้นระทึกว่า เมื่อไหร่อียิปต์โมเดลจะมาถึงตัวเองและวงศ์ตระกูล

เพราะความโง่ตัวเดียวแท้ๆ ที่ทำเกมพลิกผันจากรุกเป็นรับ กลายเป็นรบมั่วไปหมด จากไล่บี้ทักษิณ กลายเป็นหันมาล่อเละกับประชาชน จาก 6 ตุลา ไล่ทุบนักศึกษา กลายเป็น 19 พฤษภา ไล่ยิงผู้ปกครอง แนวโน้มเห็นได้ชัดเจนว่า กำลังเดินหน้าสู่หายนะโดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

แต่จนแล้วจนรอด จนถึงป่านนี้ ก็ยังไม่เคยสำนึกได้ซักทีว่า ตัวเองทำอะไรโง่ๆลงไปบ้าง ใครกันที่อนุมัติให้ทำรัฐประหาร จนพาประเทศดิ่งเหว โงหัวไม่ขึ้นจนถึงทุกวันนี้ ใครกันที่ส่งซิกส์ให้ฆ่าหมู่ประชาชน จนตาสว่างกันไปทั่วบ้านทั่วเมือง แล้วยังมาทำลอยหน้าลอยตา บ่ฮู้บ่หัน บ่ใช่คนแถวนี้

แล้วแทนที่ว่า ไหนๆก็รั้งเอาไว้ไม่อยู่แล้ว ก็น่าจะปล่อยแกนนำเขาไปแต่โดยดี แต่นี่ดันหันไปแว้งกัดลุงสุรชัยเข้าให้อีก กลายเป็นอีกหนึ่งความโง่ ที่ไปช่วยอัพเกรดให้ลุงแก โดยไม่ต้องร้องขอ

คงจำกันได้ว่า ก่อน 19 พฤษภา "วันสไนเปอร์แห่งชาติ" ตอนนั้นลุงสุรชัยยังไม่มีราคาค่างวดซักเท่าไหร่ พูดอะไรก็ไม่ค่อยมีใครสนใจฟัง แม้จะตะโกนเสียงดังจนแก้วหูแทบแตกว่า "ถ้าไม่ไปเชียงใหม่ ก็เหมือนไม่ได้ประชาธิปไตยที่แท้จริง" คนส่วนใหญ่ก็ยังยืนกรานเดินตามสามเกลอ ลงแค่นครสวรรค์ก็พอถมถืด

ดีที่ว่า งานนั้นอัศวินม้าขาวเขาถือดีอวดเด่น ไม่เล่นตามคิวที่สามเกลอบรรจงใส่พานถวายให้ ไม่งั้นมีหวังคนเสื้อแดงต้องหลงเหลี่ยมผิดคู ล่อผิดตัว เล่นผิดคนไปกันยกใหญ่ บังเอิญว่าอำมาตย์ยังโง่เสมอต้นเสมอปลายไม่สร่างซา จึงเลือกที่จะเล่นบทโหด "มาหมื่นตายหมื่น มาแสนตายแสน"

เรื่องถึงได้บานปลายขายปลาช่อน ปิดหีบไม่ลงมาจนตราบเท่าทุกวันนี้

มวลชนที่กำลังละล้าละลัง เอาดีไม่เอาดี พอโดนกระสุนความเร็วสูงเข้าเท่านั้น ก็สามัคคีกันโดดกลับขึ้นรถไฟแทบไม่ทัน คราวนี้เอาไงเอากัน ต่อให้ตีตั๋วยืน ก็ต้องขอจองกฐินไปถล่มเชียงใหม่ให้ได้ ขนาดคนแก่ใกล้ตาย ยังไม่วายกุลีกุจอขอต่อวีซ่ากับพญายม เพื่อสืบสานปณิธานอันแน่วแน่ว่า "กูจะอยู่ ดูมึงตาย"

มีอย่างที่ไหน คนเคยเคารพนบไหว้กันมาแท้ๆ ไม่นึกว่าจะกลับกลายเป็น "โหดที่สุดคือเฮีย เฮี่ยที่สุดคือซ้อ"

เมื่อมวลชนลงความเห็นเป็นเอกฉันท์ว่า จะไปแอ่วเจี๋ยงใหม่กัน เท่านั้นแหละ ลุงสุรชัยในฐานะโชเฟอร์มือหนึ่ง ก็ดูมีน้ำมีนวลขึ้นมาทันตาเห็น คราวนี้ไม่ว่าแกจะขยับปากพูดอะไรออกมา ประชาชนเป็นต้องเงี่ยหูฟัง ไม่ว่าแกจะขยับก้นไปทางไหน สันติบาลเป็นต้องคลานตาม อย่างกับสุนัขได้กลิ่นอุจจาระ ยังไงยังงั้น

แล้วหลังๆมานี่แกก็ขยันพูดซะจัง พูดได้พูดดีอย่างกับผีเจาะปาก พูดทีไรเป็นต้องบาดลึกเข้าเนื้ออำมาตย์ เล่นซะเหวอะหวะถึงกระดูกดำทุกครั้งไป

ถ้าไม่ตัดไฟเสียแต่ต้นลม มีหวังว่าประชาชนได้ตาสว่างโร่เป็นตาตั๊กแตนไปทั่วประเทศ สมุนอำมาตย์จึงต้องหาวันเหมาะๆ ตัดสินใจเข้าชาร์จ พาลุงแกไปเข้าคุก หวังฆ่าตัดตอนไม่ให้แกได้พูดอีกต่อไป เพราะว่าในคุกนั้น "พูดได้แต่ห้ามใช้เสียง คิดได้แต่ห้ามเขียนออกมา"

การปิดปากฝ่ายตรงข้ามนั้น ถือเป็นยุทธวิธีที่ทันสมัยมากเมื่อกว่า 60 ปีก่อน ในยุคที่การส่งเสียงตามสาย ยังถือเป็นนวัตกรรมแห่งอนาคต อันเป็นความหวังของมวลมนุษยชาติ แต่ข้อเสียของมันก็มี คือเมื่อเผยแพร่ออกสู่สาธารณะแล้ว ก็จะอันตรธานหายไปกับสายลม ดังนั้นถ้าเพียงแค่ตัดตอนไม่ให้พูดซ้ำได้อีก ทุกอย่างก็จะเงียบกริบอย่างกับเป่าสาก

อาจจะเพราะว่าอำมาตย์ยังมุดรูอยู่ จึงไม่รู้ว่านี่คือปี 2011 ยุคที่เสียงทั้งหมดสามารถบันทึกเอาไว้เป็นคลิป และส่งต่อกันไปได้ ง่ายกว่าแจกขนม ดังนั้นการที่ลุงสุรชัยหุบปาก จึงไม่ได้หมายความว่าแกหยุดพูด เพราะว่าคลิปที่แพร่ไปเรื่อยๆมันไม่ยอมหยุดด้วย แถมการจับแกยังเป็นการไปกระตุกต่อมอยาก ให้ชาวบ้านเสาะแสวงหามาฟังกันยกใหญ่

จะได้ช่วยกันวิเคาะวิแคะแกะเกาว่า เพราะเหตุใดลุงแกจึงได้รับเกียรติถึงปานนั้น

การอุ้มลุงสุรชัยไปเก็บ ก็แค่ทำให้ไม่มีคลิปใหม่ออกมาเสิร์ฟเท่านั้น แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหา เพราะสิ่งที่อยากจะพูด ลุงแกก็ได้พูดออกมาจนหมดเปลือกแล้ว ถึงจะปล่อยให้พูดต่อไปอีก มันก็คงวนเวียนซ้ำซากเหมือนเดิม ไม่มีอะไรใหม่ไปกว่านั้นอีก นับได้ว่า อำมาตย์ตัดสินใจช้าไปหนึ่งก้าว..อีกแล้วครับท่าน

เป็นเรื่องปกติของคนโง่อยู่แล้ว ที่เรื่องดีๆมักจะช้าไปหนึ่งก้าว เรื่องร้ายๆจะเร็วไปหนึ่งก้าว แต่ถ้าเป็นเรื่องฉิบหายแล้ว มักจะมาถูกที่ถูกเวลาเสมอ

กล่าวฝ่ายลุงสุรชัยที่กำลังนั่งซดโอเลี้ยงเพลินจนพุงกาง การที่แกตัดสินใจ "วอน นอน คุก" อย่างนั้น ย่อมไม่ใช่เหตุรู้เท่าไม่ถึงการณ์อยู่แล้ว นักปฏิวัติระดับแถวหน้าขนาดนั้น ทำไมจะไม่รู้ว่าตัวเองพูดอะไรออกไป แล้วการที่พูดออกไปอย่างนั้น ก็คงไม่คาดหวังว่า จะได้รับการประกาศเกียรติคุณจากอำมาตย์เป็นแน่แท้

เพียงแต่ว่า ถ้าไม่พูดอย่างที่ว่า ก็สู้นอนเกาพุงอยู่ที่บ้าน ยังจะมันซะกว่า

นักรบเดนตายอย่างลุงสุรชัย การที่ยังมีลมหายใจอยู่ทุกวันนี้ ถือเป็นโบนัสทั้งนั้น ถ้านับจากวันที่รอดปากเหยี่ยวปากกามาได้ในอดีต แกฟาดกำไรชีวิตไปแล้วไม่รู้เท่าไหร่ ชีพจรสุดท้ายในบั้นปลายชีวิตที่เหลืออยู่ไม่มาก

ถ้าจะเจียดมาวางเดิมพันล้มเจ้า(มือ)ซักเล็กน้อย...จะเป็นไปไรไป

วโรทาห์: 28 ก.พ. 54