Wednesday, September 19, 2007

ชื่นชมผลงานหนึ่งขวบปี

วันเวลาผันผ่านรวดเร็วน่าใจหาย พริบตาเดียววันที่สิบเก้าเดือนเก้าก็เวียนมา
บรรจบอีกครั้ง นับเป็นวันครบรอบหนึ่งขวบปีที่เจ้าได้เสียสละอย่างยิ่งใหญ่ นำพา
พี่น้องของเจ้าเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายเข้าปล้นเอาอำนาจไปจากมือของพวกข้า เหตุ
เพราะพวกข้าไม่ดีเอง ไร้ความสามารถแยกแยะดีชั่ว ถึงกับใช้อำนาจที่มีอยู่น้อยนิด
ไปเลือกเอาคนไม่ดีมาปกครองบ้านเมือง จึงต้องลำบากพวกเจ้าออกมาปล้นชิง
บุญคุณครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก แม้ตายยังมิอาจชดใช้

พูดไปแล้วละอายใจนัก แม้อยากขอบคุณคนที่เชื้อเชิญเจ้ามาก็ยังมิอาจรู้ได้ว่ามัน
เป็นผู้ใดกันแน่ ถึงถามเจ้า เจ้าก็คงมิยอมปริปาก เมื่อวันแรกๆยังเห็นพวกมันโผล่
หน้ามาออกรับกันมากมาย คาดไม่ถึงพอพวกข้ากล่าวชมเชยไปหลายคำกลับมุดหัว
หนีหายไปหมดสิ้น สุดท้ายทุกคนปฏิเสธเสียงลั่นไม่มีส่วนเกี่ยวพันกับเจ้าแม้แต่
น้อย จึงคาดว่าคนพวกนี้คงเป็นแค่พวกแอบอ้าง เสียดายที่ตัวจริงกลับไม่โผล่
ออกมารับความขอบคุณ แต่เอาเถอะ ไหนๆก็มาถึงขั้นนี้แล้วจะไม่ชื่นชมผลงาน
ของเจ้าเลยก็คงไม่ได้ เจ้าสู้ตรากตรำมาหนึ่งปีเต็มย่อมต้องมีผลงานอยู่บ้าง แม้ไม่มี
มากยังต้องมีน้อย ไม่ว่ายังไงวันนี้ต้องขอบังอาจเอ่ยถึงสักสองสามคำ

ก่อนอื่นมิอาจไม่ชมเชยน้ำใจของเจ้า หลังจากทำงานสำเร็จลุล่วง ยังมีน้ำใจคิดราคา
กันเอง ส่งเทียบมาเรียกเก็บเงินเพียงไม่กี่พันล้านอีแปะเป็นค่าใช้จ่ายในการเข้า
ปล้น หยาดเหงื่อแรงกายของพวกข้า ใช้จ่ายไปเพียงแค่นี้นับว่าเล็กน้อยยิ่งนัก เทียบ
ไปแล้วความเสียสละของพวกเจ้านับว่าสูงส่งดังขุนเขา พวกข้ายังมิอาจเทียบได้
เพียงแค่เศษเสี้ยวธุลีดิน นึกแล้วยังรู้สึกเกรงใจจริงๆ คิดว่าการทำงานครั้งนี้พวกเจ้า
คงขาดทุนไปไม่น้อย ถ้ายังไงขอให้ถือเสียว่าขาดทุนวันนี้เพื่อวันข้างหน้า ในเมื่อ
เจ้าคิดราคาไม่แพงวันหน้ายังไงยังต้องอุดหนุนใช้บริการพวกเจ้าอีก

พูดถึงผลงานด้านสังคม หนึ่งขวบปีที่ผ่านไปนับว่ามิเสียแรงเปล่า ว่าไปแล้วเจ้าก็มี
ผลงานไม่น้อย หากมิใช่เพราะเจ้าไหนเลยพวกข้าสามารถหยั่งรู้ว่ากาขาวเป็นเช่น
ไร คาดไม่ถึงจริงๆว่า แท้ที่จริงแล้ว พวกมันกลับเป็นเพียงนกกาตัวหนึ่งที่ย้อมขน
เป็นสีขาวราวเกล็ดหิมะ เพียงเลียนแบบท่าทางกรีดกรายดั่งพญาหงส์ก็สามารถตบ
ตาพวกข้ามาได้หลายสิบปี ช่างน่าเลื่อมใสนัก หากมิใช่เพราะพวกมันออกมาโลด
เต้นช่วยเหลือเจ้าจนสีขนหลุดร่วงมองเห็นสีดำน่าเกลียดแล้ว พวกข้าใยมิใช่ยังคง
โง่งมอยู่ต่อไป

คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ หากมิใช่พวกเจ้าเปิดโปงออกมาไหนเลยพวกข้าสามารถหยั่งรู้
ได้ว่าใครคือผู้ทรยศที่เกาะติดอยู่ข้างกายพวกข้ามาเนิ่นนาน เจ้ายังทำให้พวกข้าได้
รับรู้รสชาดของการถูกหักหลังจากคนข้างกายว่ามันเจ็บปวดสาหัสเพียงใด
ยิ่งกว่านั้นยังทำให้พวกข้าได้ลิ้มรสความอยุติธรรมที่ขมขื่นกว่ายาขมนับหมื่นๆเท่า
ใครเลยคาดคิดว่าบ้านเมืองยังมีตุลาการที่ไร้ความเที่ยงธรรมได้ถึงเพียงนี้

ยังมีคนคนหนึ่งที่เจ้าห้ามเอ่ยนามหากมิประสงค์จะประณามมัน พวกเจ้าพร่ำบอก
ต่อพวกข้าว่ามันคดโกงทั้งโคตร เสียงป่าวร้องทั่วทั้งปฐพีไหนเลยผู้คนมิหวั่นไหว
ใครเลยมิเคลือบแคลงคนผู้นั้น เจ้าถึงกับแต่งตั้งจอมมารอัปลักษณ์ทั้งห้าไป
ตรวจสอบมันอย่างป่าเถื่อน ใช้วิธีต่ำช้าสามานย์ไม่คำนึงถึงความยุติธรรม อีกห้า
มารนั้นก็ยังมีความแค้นฝังลึก เนื่องเพราะบิดามารดาของพวกมันถูกคนผู้นั้นเข่น
ฆ่าตายทั้งโคตร สุดท้ายตรวจสอบมาจนครบขวบปียังไม่พบหลักฐานความผิด
เด่นชัดแม้สักหนึ่งชิ้น นึกไม่ถึงว่า ที่แท้กลับเป็นอุบายรับรองความบริสุทธิ์ให้แก่
คนผู้นั้น ทำให้พวกข้าหายเคลือบแคลงจนหมดสิ้น นับว่าเจ้าช่างลุ่มลึกนัก

หันมามองด้านการเมือง ผลงานของเจ้ายิ่งน่าเลื่อมใส ใครเลยคาดคิดว่าเคล็ดวิชา
สมานฉันท์พิฆาตมันของเจ้าจะทรงอานุภาพ ทำให้การเมืองชัดเจนได้ถึงเพียงนี้
ก่อนนี้จุดยืนของข้ายังคลุมเครือ ข้าพร้อมที่จะเลือกทุกพรรคที่เสนอนโยบายตรง
ใจข้า มาบัดนี้ข้ากลับไม่คลุมเครืออีกต่อไป ข้าพร้อมที่จะไม่เลือกพรรคใดเลย
นอกจากไทรักไท แม้เจ้าจะหาเหตุยุบพรรคไปแล้วก็จริงแต่ถึงอย่างไรวิญญาณไท
รักไทก็ยังคงอยู่ในใจของพวกข้า ขอเพียงรู้ว่าพรรคใดรองรับจิตวิญญาณไทรักไท
พวกข้าก็จะเลือกพรรคนั้นโดยมิสนใจว่ามันชื่อเรียงเสียงไร จึงขอบอกไว้ว่าเจ้าก็
อย่าได้ตามรังควานนักเลย พี่น้องของข้ามีอยู่นับสิบล้าน ถูกเจ้าตีกระหน่ำจน
รวมตัวกันเหนียวแน่นกลายเป็นพลังมหาศาล นี่ย่อมไม่ใช่เรื่องล้อเล่น อย่างน้อยก็
ได้ทำให้พวกเจ้าอกสั่นขวัญแขวนมาแล้วเมื่อวันลงประชามติจอมปลอมที่ผ่านมา
หากเจ้าปิดกั้นจนไม่มีพรรคให้เราเลือก เราก็ขอไม่เลือกพรรคใดเลย

พูดถึงผลงานด้านเศรษฐกิจ ช่างน่าอัศจรรย์นัก เคล็ดวิชาหั่งเช้งเพียงพออันลือลั่น
ของเจ้าถึงกับสั่นฟ้าสะเทือนดิน คาดไม่ถึง ก่อนนี้พวกข้าถึงกับกระเสือกกระสน
หากินให้ครบสามมื้อนับว่ามิรู้จักเพียงพออย่างยิ่ง เมื่อมารับการถ่ายทอดกระบวน
ท่าสองมื้อยื้อชีวิตจึงค่อยสุขสบายขึ้น บัดนี้พวกข้าไม่ต้องดิ้นรนมากแล้ว เป็น
เพราะหันมากินข้าวคลุกน้ำปลาเพียงวันละสองมื้ออย่างเพียงพอ ยิ่งมาถึงวันนี้
ถึงกับมีพวกเราบางส่วนก้าวหน้าไปถึงขั้นฝึกปรือท่าไม้ตายมื้อเดียวเหนี่ยว
วิญญาณแล้ว ช่างน่ายินดีนัก

นึกไปแล้วก็ใจหาย เหตุเพราะอีกไม่นานเจ้าก็ต้องคืนอำนาจกลับมาให้พวกข้าไป
เลือกตั้ง ยังอดขอบใจไม่ได้ที่เจ้าไม่คิดทอดทิ้งพวกข้า เพียงแค่ถอยไปชักใยอยู่
เบื้องหลัง เพราะไม่อาจวางใจว่าพวกข้าจะสำนึกได้หรือยัง ถ้าไม่เป็นการรบกวน
จนเกินไป หลังเลือกตั้งยังคิดว่าจะขอร้องให้เจ้ามาปล้นพวกข้าอีกสักครั้ง หากมี
โอกาสให้พวกเจ้าสร้างผลงานอีกสักครึ่งปีคงเพียงพอให้แยกแผ่นดินออกเป็น
เสี่ยงๆ ราษฎรต่างแยกย้ายไปอยู่อาศัยในแผ่นดินที่ตัวเองชอบ ใยมิใช่เรื่องน่ายินดี
เล่า ยิ่งนึกยิ่งอยากให้ถึงวันนั้นเร็วๆ

ข้าคิดไม่ออกจริงๆว่ายังมีสิ่งใดน่ารื่นรมย์ไปกว่านี้อีก…

วโรทาห์ (๑๙ กันยายน ๒๕๕๐)

No comments: