Friday, December 14, 2007

มาแล้ว... ประชันวิสัยทัศน์ประธานที่ปรึกษา ปชป. vs พปช.


ณ.ดินแดนอันไกลโพ้น รถสปอร์ตสีดำทะมึนรุ่นล่าสุด พุ่งทะยานฝ่าลมหนาวไปบนไฮเวย์อย่างนิ่มนวล ราวกับแล่นอยู่บนปุยเมฆ เพียงชั่วพริบตาก็ถึงที่หมาย ยานแห่งอนาคตแล่นเข้าไปจอดสงบนิ่ง ที่หน้าร้านอาหารหรูหราในย่านไชน่าทาวน์

บุรุษหนึ่งก้าวออกมาจากที่นั่งคนขับอย่างสง่าผ่าเผย เขาอยู่ในชุดโอเวอร์โค้ทหนังสีเทาหม่น สวมแว่นตาดำ ก้าวย่างเนิบนาบราวกับออกมาจากแมททริกซ์ ใบหน้ารูปทรงสี่เหลี่ยมนิดๆ บ่งบอกถึงความเชื่อมั่นในตนเองอย่างสูง

คนสารขัณฑ์ในต่างแดนร่วมกับคนต่างชาติที่ยืนรออยู่ ก็กรูกันมาเข้าต้อนรับ พาเข้าไปในร้านอาหารที่พวกเขาสั่งจองไว้ก่้อน เมื่อรู้ข่าวทางอินเตอร์เน็ต ว่าบุรุษผู้นี้จะเดินทางผ่านมา

บุรุษมาดเข้มนั่งลงที่หัวโต๊ะ แล้วหยิบโมบายล์โฟนออกมา เช็คอีเมล์อยู่ครู่หนึ่งจึงเก็บกลับเข้าที่เดิม แล้วเริ่มการแสดงวิสัยทัศน์ ระหว่างรออาหาร... จนกระทั่งถึงช่วงคำถาม

"ท่านครับ ที่บ้านเกิดผมตอนนี้ มังคุดเหลือโลละบาทแล้วครับ เก็บมาก็ไม่คุ้ม ต้องปล่อยให้มันร่วงทิ้ง เสียหายหมด" ชายวัยกลางคนเอ่ย

"ฮ้า... ขนาดนั้นเลยเหรอ" บุรุษผู้นั้นอุทาน แล้วรีบล้วงเอาวิดิโอโฟนออกมาจากอกเสื้อ จัดการเปิดระะบบวิดีโอคอนเฟอเร้นซ์ทันที

"คุณมิ่งขวัญ" เขาเรียกชื่อผู้ที่ปรากฎในจอตรงหน้า "เรื่องมังคุดนะ ผมไปสำรวจตลาดที่ญี่ปุ่นมา ลูกละ 70 บาท.. ลูกละนะ ไม่ใช่โลละ.." เขาเน้นเสียงหนักแน่นตอนท้าย

"คุณรีบติดต่อไปเปิดตลาดเลยนะ ไว้ผมจะส่งอีเมล์แอดเดรสลูกค้าไปให้"

หลังจากนั้นบุรุษทั้งสอง ก็คุยกันเรื่องนโยบายเศรษฐกิจของสารขัณฑต่อไป จนกระทั่งอาหารมาเสิร์ฟ บุรุษนั้นจึงปิดการประชุม แล้วหันมาล้างมือในอ่างน้ำที่เตรียมไว้บนโต๊ะ

จากนั้น จึงหันมาจกข้าวเหนียวจากกระติ๊บที่วางตรงหน้า ป้อนเข้าปากอย่างไม่เคอะเขิน แล้วตามด้วยส้มตำปูปลาร้ารสแซ่บของโปรด พลันน้ำตาก็ไหลพราก อย่างกับเผาเต่า

"เอ้อ... ท่านคะ เผ็ดไปหรือเปล่าคะ" สุภาพสตรีที่นั่งอยู่ใกล้ๆ รีบถามด้วยความเป็นห่วง

"เปล่าๆ ผมคิดถึงบ้าน" เสียงตอบนั้นสั่นเครือและขาดเป็นห้วงๆ พร้อมกับป้ายน้ำตาลูกผู้ชาย ที่ไหลเคลียแก้ม ทำให้โต๊ะอาหารนั้นเงียบกริบ ทุกคนทำท่าเหมือนจะร้องไห้ตาม ครู่หนึ่ง สุภาพสตรีอีกคน จึงเอ่ยปากทำลายความเงียบ ด้วยเสียงแผ่วเบา

"เอ้อ... ประชาชนก็คิดถึงท่านค่ะ วันที่ 23 ธันวานี้แล้ว ที่พวกเขา็จะพร้อมใจกันออกไปลงประชามติ เพื่อให้คุณสมัครมารับท่านกลับบ้านค่ะ"

พอพูดจบทุกคนก็ต้องสะดุ้ง เมื่อบุรุษผู้นั้นลุกพรวดพราดจากโต๊ะไปอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

เขาเดินจ้ำหายเข้าไปในห้องน้ำ เหลียวมองไปรอบๆ เมื่อแน่ใจว่าปลอดคนแล้ว จึงปล่อยโฮออกมาอย่างไม่อาย เพื่อระบายความอัดอั้นในใจออกมา จนกระทั่งรู้สึกดีขึ้นแล้ว จึงล้างหน้าล้างตาแล้วออกมากินอาหารต่อ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

หลังจากอิ่มหนำสำราญกันแล้ว เขาก็เรียกเช็คบิล บุรุษท่าทางภูมิฐานรีบลุกขึ้นควักกระเป๋าสตางค์ออกมา แต่ถูกเขาห้ามไว้

"ไม่ต้องๆ ขอร้อง มื้อนี้ให้ผมเลี้ยงเอง มื้อหน้าค่อยว่ากันใหม่" กล่าวจบควักกระเป๋าสตางค์ออกมา หยิบแพล๊ตตินั่มการ์ดวางลงในถาด พร้อมค่าทิป 100 ยูโร

เขากลับเข้าไปนั่งในรถอีกครั้ง บิดกุญแจสตาร์ทอย่างแผ่วเบา เสียงเครื่องยนต์เงียบจนไม่รู้ว่ากำลังทำงานอยู่ ต้องเหลือบมองเกย์วัดรอบบนหน้าปัทม์เพื่อให้แน่ใจ ก่อนที่จะเข้าเกียร์ ขับทะยานออกไปด้วยพลังเทอร์โบ 8 สูบ 32 วาล์ว หายลับไปในพริบตา ทิ้งกลุ่มคนที่มาส่งไว้เบื้องหลัง

"พวกเรา.. ต้องเลือกเบอร์ 12.. ให้ท่านมาช่วยพวกเรา" เสียงหนึ่งดังขึ้นในกลุ่ม แล้วคนอื่นๆก็ส่งเสียงขานรับกันเซ็งแซ่

"ใช่.. ใช่.. กาโหล ๆ ๆ ๆ ๆ"

********

ณ.ดินแดนทางใต้ของสารขัณฑ์ประเทศ รถจี๊ปบุโรทั่งสีเขียวขี้ม้าสมัยสงครามโลก คลานต้วมเตี้ยมๆอย่างเกียจคร้าน ไปตามถนนลูกรังที่ไม่ได้มาตรฐาน เต็มไปด้วยหลุมบ่อราวกับโลกพระจันทร์

เสียงเครื่องยนต์ครางกระหึ่มราวกับจะขาดใจ แต่ยังถูกกลบลงได้ด้วยเสียงตัวถังที่ลั่นโครมคราม จนน่ากลัวว่าจะพังเป็นชิ้นๆ คนขับรูปร่างเล็กกระทัดรัด นั่งตัวโยนไปมาตามแรงเหวี่ยงของรถ บ้างครั้งก็กระดอนขึ้นจากเก้าอี้ เอาหัวโหม่งหลังคา เมื่อรถวิ่งตกหลุมปลักควาย

ชาวบ้านตัวดำๆ ในชุดเครื่องแบบกรีดยาง เหมือนออกมาจากสวนใหม่ๆ รวมตัวกันอยู่หน้าร้านข้าวแกง เพื่อรอรับนายหัว ที่พวกเขารู้ข่าวจากนกพิราบสื่อสาร ว่าจะผ่านมาทางนี้

เสียงลั่นโครมครามดังมาแต่ไกลแสดงว่าใกล้จะมาถึงแล้ว แต่พวกเขายังต้องยืนรออีกครึ่งชั่วโมง กว่าที่รถบุโรทั่งจะออกแรงฮึดเฮือกสุดท้าย คลานเข้ามาถึงจนได้ แต่พอจะให้หยุดมันดันไม่หยุด

มิใยที่คนขับจะเหยียบเบรคจนมิด เจ้ารถบุโรทั่งยังรี่เข้าหากลุ่มชาวบ้าน จนแตกหนีกระเจิงกันไปคนละทิศละทาง สุดท้ายจึงไปสิ้นฤทธิ์ลงหลังจากเลยหน้าร้านไปไกลแล้ว บุรุษผู้นั้นเป่าปากอย่างโล่งอก แล้วบิดกุญแจดับเครื่อง แต่เครื่องยนต์เจ้ากรรมก็ยังเดินต่อไปอีกครู่หนึ่ง เหมือนยังไม่หายหอบ

บุรุษร่างเล็กกระโดดเหย็งลงจากรถ ยืนปัดฝุ่นจนฟุ้งกระจาย ชาวบ้านที่กรูตามกันมาต้อนรับถึงกับหยุดชะงัก รอจนฝุ่นจาง จึงเห็นบุรุษผู้นั้นยืนยิ้มเผล่ ด้วยเอกลักษณ์ที่ชินตา คือหน้าแหลมๆ และผมที่ตั้งเป็นกระจัง ยื่นออกมาข้างหน้า เหมือนเพิงหมาแหงน

ชาวบ้านต่างพากันปิดทองที่ตัวรถแล้วยกมือไหว้ โดยมีบุรุษผู้นั้นยืนมองอย่างภาคภูมิใจ

"ปิดทองรถประวัติศาสตร์เหรอลุง..." เขาถามลุงคนที่เพิ่งปิดทองเสร็จ

"เปล๊า... เห็นเค้าว่าเป็นรถผีสิง" คำตอบซื่อๆ เล่นเอาผู้ถามหุบยิ้มทันที

ปิดทองเสร็จ กลุ่มชาวบ้านก็เฮละโลพาบุรุษผู้นั้น เข้าไปในร้านข้าวแกง แล้วจับจองเก้าอี้นั่งกันจนเต็มร้าน กะมั่วกินฟรี

บุรุษมาดนุ่มนิ่มนั่งลงที่หัวโต๊ะ แล้วหยิบกระดาษพร้อมดินสอออกมา นั่งสเก็ตช์รูปอย่างเพลิดเพลิน ท่ามกลางสายตาชาวบ้านที่จ้องมองด้วยความทึ่ง

"หน่ายฮั่้ั้ัวขรับ" ชายวัยกลางคนเอ่ยขึ้นอย่างเหลืออด "บ้านเราตอนนี้ มังคุดเหลือโลละบาทแหล่วนาขรับ เก็บมาก็ไม่คุ้ม ต้องปล่อยให้มันร่วงทิ้ง เสียหายหมด"

"เอ้อ... พ้มยังไม่ได้รับรายงานเลยครับ" บุรุษผู้นั้นพูดขึ้นมาด้วยความเคยปาก ทั้งที่ตายังไม่ละจากกระดาษ

"ก็พ้มรายงานอยู่่นี่ไง!" ชายคนเดิมขึ้นเสียงดังลั่นร้าน เล่นเอาบุรุษผู้นั้นตกใจแทบร่วงจากเก้าอี้ รีบเก็บกระดาษดินสอ แล้วขยับนั่งตัวตรง ก่อนที่จะแอบค้อนชายผู้นั้นหนึ่งวง แล้วสบัดหน้ามองออกไปที่ถนน นั่งปั้นปึ่งอย่างใช้ความคิด

ครู่ใหญ่ๆ บุรุษผู้นั้นจึงยิ้มออกมาได้ ทำให้ชาวบ้านต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก... บุรุษนั้นมองกวาดไปรอบโต๊ะ แล้วไปหยุดที่ตาลุง คนกรีดยางโกโรโกโสที่นั่งอยู่ไม่ไกล

"เอ้อ ขอยืมโทรศัพท์หน่อยครับ ลุง" เขาพูดพร้อมกับยื่นมือไปหาชายผู้นั้น ที่ดันซวยมานั่งอยู่ใกล้ๆ แถมเจ้ากรรมดันเอาโทรศัพท์ขึ้นมาวางโชว์บนโต๊ะซะอีก

ตาลุงจำใจยื่นโทรศัพท์ให้แล้วค้อนขวับ บุรุษผู้นั้นรับมาแล้วควักสมุดโน๊ตเก่าคร่ำคร่ามาเปิดหาเบอร์โทรฯ ชาวบ้านเห็นแล้วก็ได้แต่นั่งอึดอัดหาวเรอไปตามๆกัน

ทุลักลุเลอยู่ครู่ใหญ่ๆ จึงต่อโทรศัพท์ออกไปได้ บุรุษผู้นั้นเริ่มกรอกคำพูดเข้าไปอย่างช้าๆ เนิบๆ เพื่อให้ดูน่าเชื่อถือ

"เอ่อ... เอ่อ... เรื่องมังคุดอ้ะนะมาร์ค เมื่อวันอาทิตย์.. พ้มไปหาเสียงที่จตุจักร เค้าขายกันตั้ง 3 โลสิบแน่ะ ได้ราคาจริงๆ.. พ้มยังซื้อมากินเล่นตั้ง 3 ขีดแน่ะ ตอนแรกแม่ค้าจะเอาหกหลึง พ้มต่อเหลือบาทเดียว เค้ากลัวเสียราคาเลยมียื้อ แต่สุดท้ายก็ให้ โฮ่ะๆๆ"

เขาหยุดหัวเราะอย่างผู้ชนะ แล้วจึงพูดต่อ

"มาร์คไปติดต่อตลาดจตุจักรเลยนะ แล้วมาทุกมังคุดทางนี้ขึ้นไปขาย ช่วยชาวบ้านเค้าหน่อย นะมาร์คนะ"

พูดยังไม่ทันขาดคำ ก็มีเสียงลอยมาจากชาวบ้านที่ยืนมุงอยู่หน้าร้านข้าวแกง

"ค่าเก็บก็โลละ 2 บาทแล่ว ไหนจะค่ารถอีกสิบหลึง ไปขาย 3 โลสิบ จะขายทำก๋งแกเรอะ"

บุรุษนั้นได้ยินเต็มสองรูหู แต่ไม่กล้าหันไปทางต้นเสียง รีบเก็บโทรศัพท์คืนเจ้าของ แล้วลงมือเปิบข้าวอย่างรวดเร็ว ผิดกับบุคคลิกยามปกติ จนกระทั่งอิ่มแล้วก็รีบเรียกเช็คบิล

ขณะที่แม่ค้ายืนนับชามอยู่นั้น บุรุษท่าทางภูมิฐานก็ลุกขึ้นควักกระเป๋าสตางค์ออกมา

"ม่ายโ่ต้งๆ พ้มออกเอง" บุรุษมาดนิ่มยกมือห้ามแล้วลุกขึ้นยืนช้าๆ ควักกระเป๋าสตางค์ออกมาพร้อมกับหันไปถามแม่ค้า ด้วยน้ำเสียงนุ่มๆแบบพระเอกหนังยุค 70

"ของผมเท่าไหร่"

"ยี่สิบค่ะ" แม่ค้าตอบอย่างไม่มั่นใจ

บุรุษผู้นั้นควักแบงค์ยี่สิบวางลงบนโต๊ะ แล้วหันเดินออกจากร้านไปขึ้นรถทันที ทิ้งชาวบ้านให้นั่งงงเป็นไก่ตาแตกอยู่เบื้องหลัง

เขาโดดขึ้นไปบนที่นั่งคนขับอีกครั้ง เสียบกุญแจแล้วบิดสตาร์ททันที เสียงไดสตาร์ทครางโหยหวนดังลั่นทุ่ง พร้อมกับตัวรถที่สั่นสะท้านยังกับเจ้าเข้า ก่อนที่จะหมดแรงไป เขาเพียรสตาร์ทครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างใจเย็น จนกระทั่งเครื่องยนต์ติดขึ้นมาจนได้

เสียงเข้าเกียร์ดังครืดคราดอยู่หลายตลบ กว่ามันจะผลุบเข้าร่องเข้ารอย ตัวรถสะท้านขึ้นอีกครั้งขณะที่ลากสังขาร เคลื่อนตัวออกไปอย่างไม่เต็มใจ

ชาวบ้านที่ต่างควักเงินจ่ายค่าข้าวเรียบร้อย ออกมายืนลุ้นให้รถจี๊ปคันนั้นรีบๆพาเจ้าของไปให้พ้นหูพ้นตา แต่ทว่า.. หลังจากที่ยืนมองอยู่เกือบครึ่งชั่วโมง รถก็ยังไม่ไปถึงไหน พวกเขาจึงละความสนใจ แล้วหันกลับมาคุยกันเอง

"พวกเรา.. อย่าไปเลือกเบอร์ 4.. มันช่วยพวกเราไม่ได้หรอก .วายเอ้ย" เสียงหนึ่งดังขึ้นในกลุ่ม แล้วคนอื่นๆก็ส่งเสียงขานรับกันเซ็งแซ่

"ใช่.. ใช่.. กาโหล ๆ ๆ ๆ ๆ"

********

วโรทาห์: 13 ธ.ค. 2550

No comments: