Tuesday, July 15, 2008

ว.วชิรเมธี วันนี้ต้องกระตุกกันหน่อย

แต่ไหนแต่ไรมา เห็นว่าเป็นคนในเครื่องแบบ ก็เลยไม่อยากจะตอแย แต่ทำไปทำมาชักจะเลยเถิดไปกันใหญ่ เรียกว่ายั้งไม่หยุดฉุดไม่อยู่เลยก็น่าจะว่าได้ เป็นพระอะไรทำไมถึงได้ชำนาญการเรื่องการเมืองเสียนี่กระไร ขนาดว่าเบียดเอาพระพันธมิตรอื่นๆให้ต้องชิดซ้ายไปตามๆกัน

ค่าที่ว่าเป็นมวยเชิง ไม่โฉ่งฉ่างอย่างพระคิ้วหนา หรือหลวงตาอรหันต์ แต่มั่วนิ่มจนเนียนนุ่ม ขนาดว่าชาวบ้านทั่วไปแยกไม่ออกเลยว่า เป็นพระที่ถือหางพันธมิตรอยู่เต็มกำมือ เห็นแล้วก็ไม่สบายใจ เพราะว่านานวันไปจะกลายเป็นพระมาเทศน์ให้ชาวบ้านเค้าตีกัน เลยจะพาลให้คนเขาพลอยเสื่อมศรัทธาในพระศาสนาไปเปล่าๆ

คงจะย่ามใจที่พูดได้ฝ่ายเดียวโดยไม่มีใครโต้แย้ง แต่วันนี้เหตุการณ์มันเปลี่ยนไป ถึงยังไงก็ต้องคุยกันหน่อย ท่านเป็นศิษย์พระพุทธเจ้าเราก็ศิษย์ตถาคตเหมือนกัน ต่างกันแต่เพียงไม่ได้นุ่งเหลืองห่มเหลืองมันก็แค่นั้น แต่ถ้าจะวัดกันที่ใจ กล้าพูดได้เลยว่าเกินร้อย ถ้าจะเอาพระพุทธเจ้ามาขายกินกันอย่างนี้ ถึงเป็นสงฆ์ก็คงยอมกันไม่ได้

แล้วก็อย่ามายัดข้อหาให้หละว่าด่าพระ ก็ในเมื่อพระย่ามใจโดดขึ้นเวทีไปไล่ชกเขาเอง ถ้าจะเจอสวนเอาซะมั่งมันก็สมควร จะไปโวยวายว่าเขาทำร้ายพระมันก็ไม่ถูก อย่านึกว่าห่มผ้าเหลืองแล้วจะได้สิทธิพิเศษอะไร เพราะพระที่ตกนรกหมกไหม้อยู่ในโลกันตร์ก็ถมเถ อย่าได้หลงผิดคิดว่าพระพุทธองค์จะทรงคุ้มครอง ใครก็ช่วยไม่ได้ เพราะกรรมใครก็กรรมมัน

แต่ขอให้สบายใจได้ ยี่ห้อนี้ไม่มีด่ามั่ว ที่เขียนมานี่ก็อ้างอิงจากบทความของท่านเอง เรื่อง “ความเป็นกลาง = ความเป็นก้าง" ที่ตีพิมพ์ในเนชั่นสุดสัปดาห์ เอาแค่ชื่อบทความก็เหลือกินแล้ว เพราะสักแต่ว่าเล่นคำให้ลำเค็ญ คุ้นๆอยู่ว่าเป็นลีลาถนัดของพรรคการเมืองพรรคหนึ่ง ที่กำลังจูบปากดูดดื่มอยู่กับพันธมิตร

ที่ท่านบอกว่า "ความเป็นกลางทางการเมืองคือ การยืนอยู่ข้างธรรมะและความถูกต้อง" นั้น ถ้าแค่ฟังผ่านๆมันก็ดูดี แต่ถ้าคิดดีๆมันยังไงๆอยู่ งั้นทุกวันนี้ที่ท่านยืนอยู่ข้างพันธมิตร มันก็แสดงเป็นนัยๆว่าพันธมิตรนั้นถูกต้องใช่หรือไม่ ถ้าจะเถียงว่าไม่ได้อยู่ข้างพันธมิตร งั้นก็แสดงว่าพันธมิตรไม่ถูกต้องหรือไง เพราะท่านก็พูดอยู่ว่าท่านเลือกข้างความถูกต้อง

แล้วอย่าเผลอหลุดปากหละว่าเป็นกลาง

อีกอย่าง ความถูกต้องนี่มันเลือกอยู่เป็นข้างๆหรือท่าน ถ้าข้างไหนถูกต้องมันก็จะถูกตะบันราดไปซะทุกเรื่องเลยหรือไง ถ้าตอบว่าใช่ก็แล้วไป เพราะไม่มีอะไรจะคุยกัน แต่ถ้าตอบว่าไม่ใช่ แล้วท่านไปเลือกข้างปักหลักอยู่ข้างเดียวได้ยังไง ถ้าเลือกข้างความถูกต้องมันก็ต้องสลับไปสลับมา หรือไม่ใช่

ครั้นจะอยู่เฉยๆก็ไม่ได้อีก เพราะท่านตีกันไว้แล้ว ว่าการอยู่เฉยๆ นั้นจะนำประเทศไทยไปสู่หายนะ งั้นก็แสดงว่าการที่ท่านเต้นแร้งเต้นกาอยู่นี่ คือกำลังช่วยรักษาประเทศอยู่ละสิ หรือพูดง่ายๆว่าท่านกำลังกู้ชาติก็คงจะไม่ผิด ถ้าจะผิดก็ตรงที่ไม่ใช่กิจของสงฆ์ หรือจะอ้างบาลีบทไหนก็ให้ว่ามา แล้วช่วยบอกด้วยว่าพระพุทธเจ้าทรงถือสัญชาติอะไร และทรงกู้ชาติของพระองค์ยังไง

สรุปว่าความเป็นกลางไม่มี ยังไงก็ต้องเลือกข้าง แล้วต้องเลือกข้างความถูกต้องด้วย ถ้าไม่รู้ว่าข้างไหนถูกต้องก็ให้ถามท่าน เพราะว่าท่านนั้นรู้ดีกว่าใคร ถ้าไม่งั้นคงไม่ได้ใ่ส่จีวร..ว่างั้น

เสียทีที่ร่ำเรียนจนเป็นมหา แค่ความเป็นกลางยังไม่รู้จัก ในพระไตรปิฎกมีอยู่ชัดเจน ไม่รู้หลงหูหลงตาไปยังไง อย่าให้ถึงกับต้องบอกเลยนะว่าอยู่ในบทไหน เดี๋ยวจะกลายเป็นว่าสอนหนังสือสังฆราชไปซะเปล่าๆ

เอาเป็นว่าสั้นๆง่ายๆ ความเป็นกลางมันอยู่ที่ใจ วางอุเบกขาลงที่ใจย่อมไร้รักไร้ชัง เมื่อไร้รักไร้ชังก็เป็นกลาง เมื่อเป็นกลางย่อมเป็นธรรม ผู้พิพากษาที่เ็ป็นธรรมย่อมตัดสินไปตามเนื้อผ้า ไม่มีความรักความชังเข้ามาผสมโรง ไม่ต้องคำนึงถึงว่าตัดสินไปแล้วใครจะได้ใครจะเสีย ไม่ต้องมาเป็นบ้าเป็นหลังว่าตัดสินอย่างนี้ประเทศชาติจะหายนะ หรือว่าตัดสินไปแล้วคนชั่วจะพ้นผิด

เป็นพระก็เทศน์ไปตามเหตุตามผล ไม่ต้องมาตะแบงตีความพระไตรปิฎก ชั่วดีเป็นเรื่องสมมติ เรามาถือวิสาสะตัดสินกันเองว่าคนนั้นดีคนนี้ชั่ว แล้วก็มาพะว้าพะวงว่าเทศน์ไปแล้วคนชั่วจะได้ดี พาให้ต้องมาคอยบิดเบือนคำสอนเพื่อไม่ให้เข้าทางคนชั่ว อุปาทานมันเกิดขึ้นในใจแล้ว แน่นอนว่ามันก็ไม่เป็นกลาง เลยพาลหน้ามืดตามัวว่าความเป็นกลางมันไม่มี

เมื่อเกลียดทักษิณซะแล้ว ก็ต้องพยายามหาทางกำจัดให้ได้ จะยัดข้อหาขายชาติอะไรก็ว่่ากันไป ชาวบ้านหน้ามืดตามัวยังไม่พอ พระสงฆ์องค์เจ้ายังเอากะเค้าด้วย เลยเอวัง

พูดมาได้ยังไง ว่าสงสัยระบบการศึกษายิ่งสอนยิ่งทำให้คน “เชื่อง” ก็อยากจะถามกลับไปเหมือนกัน ว่าปากหรือนั่นท่านมหา ท่านกำลังกล่าวถึงคนแต่ใช้คำว่าเชื่อง คำนั้นมันใช้กับแมวหรือใช้กับคน จะสอนอะไรก็สอนไปไม่มีใครว่า อย่ามาเล่นลิ้นให้คนเขาเสียหาย แค่กล่าววาจาส่อเสียดก็ผิดศีลข้อมุสาแล้ว เป็นถึงมหาก็น่าจะรู้

ที่บอกว่า "พระพุทธเจ้าทรงเป็นนักประชาธิปไตย นักสิทธิมนุษยชน โดยหักล้างคำสอนเรื่องพระพรหม เรื่องระบบวรรณะ"

ก็ว่ากันไป สักแต่ว่าจะตีความ ก็พระองค์ทรงสอนเรื่องสัมมาทิฎฐิ มันไปเกี่ยวอะไรกับการเมืองการปกครอง ขอร้องถ้าเคารพพระพุทธเจ้าจริง ก็อย่าริลากเอาพระองค์มาแปดเปื้อนกับการเมือง คำสอนของพระพุทธองค์เป็นอกาลิโก ไม่ขึ้นกับกาลเวลา แต่การเมืองนั้นมันผันแปรไปตามกาล ไม่มีความแน่นอน เรื่องที่ว่าถูกในวันนี้ วันข้างหน้าอาจจะผิดมหันต์ก็ได้

แล้วที่มาอ้างว่าทรงยุ่งกับการเมืองเพราะไปห้ามทัพ ก็ขอถามหน่อยว่าพระองค์ไปเลือกข้างหรือยัง ทรงห้ามพระญาติไม่ให้รบรา่ฆ่าฟันกันไม่ใช่หรือ แล้วมันไปเกี่ยวกับการเมืองยังไง ถ้าจะอ้างเพื่อเอามาสนับสนุนความชอบธรรมของตัว ก็ต้องตอบคำถามให้ได้ว่า ท่านไปห้ามทัพหรือว่าไปผสมโรงช่วยฝ่ายหนึ่งไล่กระทืบอีกฝ่ายหนึ่ง

แล้วยังมาอ้างว่าทรงเสนอระบบเศรษฐกิจแบบ “ทางสายกลาง” ที่เน้นการบริโภคเพื่อความอยู่รอดมากกว่าการบริโภคเพื่อความมั่งคั่งอย่างไม่รู้จบด้วย

เอากันเข้าไป แค่พอเพียงก็ยังพอทน นี่ถึงกับยืมพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้ามาด่าทุนนิยมอีก ช่างบาปหนากันจริงๆ ตรงไหนหรือ ที่ทรงพูดถึงระบบเศรษฐกิจ ตรงไหนหรือที่ทรงบอกว่าไม่ให้มั่งคั่ง ที่อ้างมานั่น ทรงสอนภิกษุให้ถือสันโดษไม่ใช่หรือ ทรงสอนให้กินอยู่ตามอัตภาพเพื่อขจัดกิเลส กับทั้งเพื่อไม่ให้เป็นภาระต่อสังคม ที่เลี้ยงดูพระสงฆ์อยู่ หรือไม่ใช่

สุดท้าย บอกว่าพระสงฆ์ควร ‘ถ่ายทอดธรรม’ ให้กับนักการเมือง อันนั้นก็ไม่เถียง แต่เรื่องแค่นี้ก็จะมาอ้างว่าพระต้องยุ่งเกี่ยวกับการเมืองแล้วหรือ ในเมื่อเป็นพระก็ต้องถ่ายทอดธรรมให้กับทุกคนไม่เลือกชั้นวรรณะอยู่แล้วเป็นธรรมดา หาไม่แล้ว ถ้าเกิดไปถ่ายทอดธรรมให้กับนางคณิกาหละจะว่าไง จะต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับกิจกรรมของเค้าไม๊

แล้วที่สำคัญกว่านั้น จะถ่ายทอดอะไรให้ใครก็แล้วแต่ ต้องแน่ใจนะว่าตัวนั้นรู้จริง หมอที่จ่ายยาพิษเพราะเข้าใจผิดว่าเป็นยาดีมีบาปหนักฉันใด พระที่สอนผิดๆเพราะเข้าใจว่าตัวเองสอนถูกก็บาปหนาพอกัน

อย่าทึกทักว่าสิ่งที่เรารู้นั้นถูกต้องหมด มีเรื่องมากมายที่เราเข้าใจว่าเรารู้ทั้งๆที่ความจริงแล้วไม่รู้ จักรวาลนั้นกว้างใหญ่ไพศาล เกินกว่าสติปัญญาของมนุษย์ที่จะรู้ได้ มนุษย์ที่เป็นปุถุชนนั้นรู้น้อยซะจนถือว่าไม่รู้เลยก็ว่าได้ รู้โดยสัญญานั้นยังไม่ใช่ปัญญา ต่อให้ท่องบ่นพระไตรปิฏกพันเที่ยวหมื่นเที่ยว ปัญญาก็ไม่เกิดถ้าไม่ปฏิบัติ

พระพุทธองค์จึงทรงให้สงฆ์บวชเรียนเพื่อแสวงหาโมกขธรรม ยังชีพด้วยปัจจัยที่ชาวบ้านถวาย เพื่อให้มีเวลาพอที่จะปฎิบัติธรรม ให้เกิดความรู้แจ้งยิ่งกว่าคนธรรมดา ต้องปฏิบัติให้ถึงขั้นโลกุตตระ เหนือกว่ามนุษย์ธรรมดา จึงจะมีปัญญามาสอนฆราวาสได้ จึงจะสามารถนำพามนุษย์ให้หลุดพ้นจากสังสารวัฎได้ ถ้าเพียงแต่ท่านปฏิบัติได้ตามนี้ คงไม่ออกมาพูดอะไรตื้นๆเช่นนั้น

ถ้าบวชแล้วแค่อ่านตำราเพื่อสอบให้ได้เปรียญ 9 เพื่อจะได้ชื่อว่าเป็นมหา แล้วก็ออกเที่ยวสั่งสอนชาวบ้านตามแต่จะคิดเอาเอง ไม่ปฎิบัติให้ถึงตามที่พระพุทธองค์ทรงสอน พระกับชาวบ้านก็ไม่มีอะไรต่างกัน ถ้าทำได้แค่สอนให้คนคิดดีทำดี ไม่ต้องเป็นพระก็สอนได้ จะต้องมาบวชทำไมให้เสียผ้าเหลือง จะต้องใส่บาตรทำไมให้เปลืองข้าวสุก
 
อย่าคิดว่าสิ่งที่เรารู้นั้นคนอื่นไม่รู้ ผ้าเหลืองไม่ได้ทำให้คนฉลาดกว่าธรรมดา วิทยาการสมัยใหม่นั้นเรียนทันกันหมด คัมภีร์ไม่ได้อยู่แต่ในใบลานอีกต่อไป ฆราวาสที่รู้ธรรมมากกว่าสงฆ์นั้นมีมากซะยิ่งกว่ามาก ขืนไปเที่ยวสั่งสอนส่งเดช ระวังว่าจะถูกตอกกลับเอาง่ายๆ จะพาลเสื่อมเสียไปถึงพระบรมศาสดา ระวังจะบาปหนายิ่งกว่าพระเทวทัต

คนไทยร่วมชาติต้องมาเผชิญหน้ากันก็ทุกข์พอแรงอยู่แล้ว เป็นพระเป็นเจ้าไม่ช่วยห้าม ยังมาสุมไฟใส่ฟืนเติมเชื้อให้เหตุการณ์มันเลวร้ายลงไปอีก บาปหนากันขนาดไปลากเอาพระพุทธเจ้ามาสร้างความชอบธรรมให้ฝ่ายตัวเอง ทำกันถึงขนาดนี้มันก็เกินไป พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเป็นศาสดาของเราทุกคน

ถ้าใครจะมาทำให้พระพุทธองค์ทรงเสื่อมเสียขนาดนี้ ถึงตายก็อย่าหวังว่าจะมีใครยอมใคร

วโรทาห์: 15 ก.ค. 51

7 comments:

Anonymous said...

สาธุ คุณวโรทาห์
อ่านแล้วได้ใจจริง ความเป็นกลางคือไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด ภาระกิจสงฆ์ คือ เผยแผ่พระธรรม มีเมตตาจิตต่อสรรพสัตว์ทั้งหลายทั้งปวงโดยไม่ "เลือก"
คนห่มผ้าเหลืองไม่ได้หมายความว่ามีความเป็นพระสงฆ์
ในะางพุทธศาสนาเสมอไป

Anonymous said...

วโรทาห์ก็มีภูมิธรรมไม่ธรรมดาเลย..นิ
เศร้าจังประเทศไทย

Anonymous said...

อ่านแล้วโดนใจมากๆ เมื่อ2-3ปีก่อนเคยศรัทธาพระรูปนี้ แต่ ณ บัดเพี้ยวนี้เสื่อมลงจนหมดสิ้น ขออนุญาตคุณวโรทาห์ คัดลอกบทความนี้ให้เครือญาติและเพื่อนๆอ่านด้วยนะคะ

Anonymous said...

มีภูมิรู้...รู้ภูมิธรรม
แต่ไม่นำการปฏิบัติของพระพุทธองค์มาปฏิบัติจริง
ก็อยากที่จะเข้าถึงภูมิธรรม

Anonymous said...

นึกว่าคิดไปคนเดียว รู้สึกทะแม่ง ๆ กับท่าน ว.มาซักพักหนึ่งแล้ว เมื่อก่อนอ่านหนังสือท่านทุกเล่มเพราะเนื้อหายังเป็นเรื่องธรรม ไม่มีการเมือง แต่ระยะหลังท่านดูจะฝักใฝ่การเมืองแบบเอียงกระเท่เร่มาก ยิ่งได้สำนักพิมพ์เครืออัมรินทร์ยิ่งไปกันใหญ่ อัมรินทร์พริ้นติ้งนี่สุดยอดอำมาตยาฯ ตัวจริงและเป็นอีกสื่อที่อยู่คนละฟากกับประชาชน

ขอบคุณข้อเขียนของคุณวโรทาห์

Anonymous said...

"วโรทาห์ วันนี้ต้องกระตุกกันหน่อย"


แต่ไหนแต่ไรมา ก็ฟังก็อ่านมาเยอะ แค่ยังสงสัยคุณวโรทาห์ คุณกำลังกลัวจะเสียมวลชนหรือเปล่า เพียงเพราะท่านว.วชิรเมธี ท่านมีปัญญาที่เฉียบคมสามารถอธิบายหลักธรรมให้เข้าใจได้ง่ายๆ ไม่ต้องปีนบันได้ฟัง เมื่อท่านมีปัญญาเฉียบคมแล้วมาอธิบายการเมืองให้ดูง่าย เข้าใจง่าย

"ใครถูกก็ว่าถูก ใครผิดก็ว่าผิด" จะให้พระที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบเข้าข้างคนผิดก็คงจะไม่ใช่

ความเป็นกลางเป็นเรื่องของความเห็น เรื่องของแนวคิด ความเชื่อ ไม่ใช่เรื่องความถูกผิด ความดีความชั่ว

ไม่นานก็จะถึงเวลา ที่ศาลจะตัดสินอดีตนายกในคดีต่างๆ ใครถูกใครผิดก็จะได้รู้กัน ใครฉ้อราษฎร์บังหลวง สุดท้ายกลัวว่าจะไม่ยอมรับอำนาจของศาล หากศาลไม่สามารถทำหน้าที่ได้ สุดท้ายการเมืองไทยคงไม่ไปไหน ฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร ฝ่ายตุลาการไม่สามารถทำงานตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจกันได้ อย่าหวังจะให้ประชาธิปไตยอย่างที่หวังกันเลย

Unknown said...

ปัญหาทุกวันนี้ตือศาลตัดสินคนกลุ่มหนึ่งและเลือกที่จะไม่ตัดสินคนอีกกลุ่ม เลือกที่จะตัดสิน ที่ดินรัชดา แต่ไม่ตัดสินที่ดินบนเขายายเที่ยง