Monday, July 7, 2008

ประชาธิปไตย 30%

กำลังนี้ไปไหนมาไหนก็เห็นใครๆพูดถึงแต่เรื่อง 30:70 ค่าที่ว่าสื่อเสี้ยมสำนักไหนๆก็หยิบเอามาเป็นประเด็น ทำราวกับว่าเป็นไอเดียบรรเจิด เลอเลิศประเสริฐศรีเสียนี่กระไร

จะว่าไปแล้วเรื่องนี้ต้องยกความดีให้บักใส แนวคิดต้นเรื่องจะมาจากไหนไม่มีใครรู้ แต่ถ้าไม่ใช่บักใสใครจะไปกล้าจ้อ นี่ถ้าลองเป็นฝ่ายลุงหมักออกมาพูดสิ ป่านนี้ถ้าไม่ถูกเหยียบจมธรณี จะยอมให้ชี้หน้าด่า ว่าสื่อไม่ใช่คน

เห็นพูดกันนักพูดกันหนา ว่ามันเป็นการเลือกตั้งแนวใหม่ แต่ซุ่มคิดกันไว้มานานนมแล้ว เพียงแต่ตอนนั้นยังเกรงใจ ไม่กล้าบรรจุลงในรัฐธรรมนูญ 50 เพราะกลัวว่าจะถูกต่อต้าน คิดแล้วยังเสียดายไม่หาย ถ้ารู้ว่าผลการลงประชามติจะผ่านนิ่มๆอย่างนี้ ก็ขายเหล้าพ่วงเบียร์ซะตั้งแต่ตอนนั้น ป่านนี้ก็เรียบร้อยโรงเรียนปชป.ไปแล้ว

หลักใหญ่ใจความมันเป็นอย่างนี้ ติ๊งต่างว่ามีส.ส.ได้ 100 คน ก็ให้ลากตั้งเอามาวางไว้ก่อน 70 ที่เหลือ 30 ค่อยให้ประชาชนไปเลือกกันเอาเอง เรียกว่าอ่อยเหยื่อให้กุ๊กกิ๊กดุ๊กดิ๊กกันเล็กๆน้อยๆพอหอมปากหอมคอ ให้ขึ้นชื่อว่าได้ลิ้มรสประชาธิปไตยพอให้หายเปรี้ยวปาก อยากโง่กันนักมันก็ต้องเจอแบบนี้

ในเมื่อเลือกคนดีไม่เป็นก็ต้องให้คนมาช่วยเลือก บอกใบ้กันปากเปียกปากแฉะว่าให้เลือกคนดี ก็ดันไปเลือกคนโกง ถ้าขืนปล่อยไปอย่างนี้บ้านเมืองบรรลัยแน่ ขนาดว่าบังแหลเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายปฎิวัติมา ยังต้องร้องไห้ขี้มูกโป่ง เพราะว่ามาไม่ทัน มันแทะไปถึงกระดูกแล้ว บังเห็นเข้าก็ได้แต่เข่าอ่อน จำต้องมานั่งแทะกระดูกต่อ ล่อมาได้แค่ 2 พันล้านเอง

แต่งานนี้นักประชาธิปไตยฟังแล้วไม่โอเค ล้งเล้งว่าอะไรกันนักกันหนา ลากตั้งมาแค่ 70 มันจะไปพอยาใส้ได้ยังไงกัน ทีฝั่งเลือกตั้งยังให้ตั้ง 30 ไม่ใจกว้างกันไปหน่อยหรือศักดินาขาใหญ่ จริงๆแล้วให้เลือกตั้งแค่ 25 ก็เหลือแหล่ จะได้เรียกขานง่ายๆ ว่าประชาธิปไตยสลึงเดียว ส่วนลากตั้งก็เอาไปเลย 75 เนื้อๆเน้นๆ จะได้เรียกว่าส.ส. 3 สลึง หรือว่าส.ส.ซาจี๊ ก็แล้วแต่ถนัดปาก

เรื่องนี้เห็นทีว่ายังลากกันไปได้อีกหลายกิโลแม้ว อย่างน้อยก็พอยื้อเวลาหันเหความสนใจของผู้คนไปทางอื่น นอกจากกลบเกลื่อนเรื่องสมเกียรติหมิ่นฯแล้ว ยังเป็นการดึงเกมส์ให้ลุงลองแกไปแอบไล่๊ถองเด็กอยู่เงียบๆ โทษฐานที่ปากเสียไปฟ้องศาลให้มาไล่เฉ่งลุงลองจนของขึ้น เด็กหัวแข็งขนาดนี้อย่ามาสมัครโรงเรียนผู้นำซะให้ยาก ลุงลองคนดีไม่มีทางเวลคัม

ไหนๆก็พูดถึงเรื่องเลือกตั้งกันมาแล้ว ก็น่าจะเสวนาต่อไปให้สะเด็ดน้ำ..อย่างที่หัวเถิกรัตนโกสินทร์ว่าไว้ไม่มีผิดเพี้ยน ประชาธิปไตยไม่ใช่แค่การเลือกตั้ง เลือกเสร็จแล้วยังต้องมาตามไล่ตามบี้ ในกรณีที่พวกตัวเองไม่ได้เป็นรัฐบาล

ถึงเสียงจะสู้ไม่ได้ แต่ความชอบธรรมมันกินกันขาด เอาเป็นว่าเสียงมากเสียงน้อยยังไง ก็ต้องให้ปชป.เป็นรัฐบาล ถึงจะถูกต้องตามหลักประชาธิปไตยแบบไทยๆของเรา

แล้วอีกอย่างที่ยังเถียงกันไม่เสร็จ ก็เรื่อง 1 คน 1 เสียงเท่ากันนี่มันโหลยโท่ยจริงๆ อย่างรากหญ้าหน้าโง่จะตายชัก ยังอุตส่าห์มี 1 เสียงเท่ากับผู้สูงศักดิ์ อย่างนี้มันก็เกินเหตุ ผู้สันทัดกรณีเลยเสนอมาว่า ถ้าจะให้แฟร์ๆ คงต้องนับคะแนนเสียงไปตามศักดิ์ ถ้าศักดิ์รากหญ้าต่ำต้อยก็ให้ 1 เสียงเท่าเดิม ส่วนผู้สูงศักดิ์จะให้คนละร้อยเสียงพันเสียงหรือเท่าไหร่ก็ว่ากันไป

ทีนี้ปัญหาใหญ่มันมาติดอยู่ที่ผู้สูงศักดิ์นี่แหละ เพราะว่าถ้าจะให้เสียงเท่ากันก็คงไม่มีใครยอมใคร ต่างคนก็ว่าศักดิ์ตัวนั้นสูงกว่าเห็นๆ ถ้่าขืนให้เท่าเทียมคงได้ตบกันหน้าแหก ถ้าจะให้ดีก็ต้องคิดค้นเครื่องมือเอามาวัดศักดิ์ เรียกว่าศักโดมิเตอร์ ศักดิ์ของใครสูงกว่าระดับน้ำทะเลปานกลางกี่เมตร ก็ให้เสียงไปตามนั้น ไม่ต้องมานั่งเถียงกันให้มันเมื่อยตุ้ม

ระหว่างที่โยนหินถามทางอยู่นี้ ก็มีไอเดียเด็ดเข้ามาอยู่เรื่อยๆ อย่างรายนี้เขาเสนอมาว่า ประชาธิปไตยขนานแท้และดั้งเดิม มันต้องวัดกันที่รอยเท้า เท้าเล็กเท้าใหญ่ก็ได้เสียงต่างๆกันไป มันถึงจะยุติธรรม นอกจากถูกต้องสมจริงแล้วยังวัดง่ายอีกต่างหาก ก็เอาตามเบอร์รองเท้านั่นแหละ แน่นอนที่ซู๊ด

ใครใส่รองเท้าเบอร์ 30 ก็เอาไป 30 เสียง ถ้าเบอร์ 42 ก็ 42 เสียง คิดกันง่ายๆตรงไปตรงมาไม่ต้องอ้อมค้อม แถมยังตรงเป้าตรงประเด็นอีกต่างหาก เพราะในโลกแห่งความเป็นจริง คนเท้าใหญ่ย่อมมีสิทธิ์มีเสียงมากกว่าคนเท้าเล็กอยู่แล้วเป็นธรรมดา ถ้าเกิดใครหือหาขึ้นมาก็เล่นไม่ยาก แค่เอาเท้าพาดก้านคอก็เป็นอันว่ารู้กัน

ถ้าเกิดวิธีนี้เป็นจริงขึ้นมา คนต้นคิดเรื่องนี้ก็เตรียมเฮ เพราะว่าผู้สมัครส.ส.จะแวะเวียนไปไหว้แกหัวกะไดไม่แห้ง

ก็แหงหละ..ไหว้แค่คนเดียว แต่มีค่าเท่ากับวิ่งรอกไปไหว้คนตั้ง 45 คน เป็นใครจะไม่เอา

วโรทาห์: 7 ก.ค. 51

No comments: