Wednesday, November 5, 2008

ระบอบอำมาตย์..ส่วนเกินที่ต้องกำจัด

ตั้งแต่อดีตกาลนานมา ระบอบศักดินากับอมาตยาธิปไตยนั้น เปรียบได้ดังน้ำพึ่งเรือ เสือพึ่งป่า ก็ว่าได้ ต่างพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน เฮไหนเฮนั่น จนแยกจากกันลำบาก เพราะว่าศักดินาก็ต้องพึ่งพาอำมาตย์ คอยค้ำจุนระบอบ ในขณะที่อำมาตย์เอง ก็ต้องอาศัยบารมีคุ้มกบาล ให้มีเงินมีงาน เลี้ยงปากเลี้ยงท้องได้ อย่างอู้ฟู่

แต่ก็ใช่ว่าสองฝ่ายจะกลมเกลียวซี้ปึ้กกันก็หาไม่ ถ้าดูหนังเกาหลีก็จะเห็นเป็นตัวอย่าง ว่าศักดินากับมหาอำมาตย์ก็งัดข้อกันอยู่เป็นประจำ แต่จะทำยังไงได้ ในเมื่อต่างก็จำเป็นต้องมีกันและกัน ก็ต้องทนๆกันไป ไม่งั้นจะอยู่ได้ยังไงกัน

เมื่อโลกพัฒนามาถึงยุคประชาธิปไตย ถ้ายังขืนมะงุมมะงาหลาใช้ระบอบเดิมอยู่ ชาวโลกที่ไหนเขาจะมาคบ แต่ปัญหามันมีอยู่ว่า เมื่อเปลี่ยนระบบใหม่แล้ว จะทำยังไงกับระบอบเก่า กล่าวฝ่ายศักดินานั้นคงพอไหว เพราะถึงยังไงก็เข้าได้กับประชาธิปไตย อย่างเป็นปี่เป็นขลุ่ย แต่อมาตยาธิปไตยนี่สิลำบาก กลายเป็นส่วนเกินของประชาธิปไตย ที่ประเทศไหนๆใครก็กำจัดทิ้ง

ดูเหมือนว่าอมาตยาธิปไตย ก็พอรู้ชะตากรรมตัวเอง ดังนั้น เพื่อต่อลมหายใจไปอีกหลายเฮือก จึงพยายามดิ้นรนจนสุดฤทธิ์ เป้าหมายคือเหนี่ยวรั้งศักดินาไว้ ไม่ให้ไปเข้าพวกกับฝ่ายประชาธิปไตย โดยเด็ดขาด จึงต้องจำลองระบอบประชาธิปไตยแบบสารขัณฑ์ๆขึ้นมา เพื่อตบตาชาวโลก ว่าสารขัณฑ์ก็เป็นประชาธิปไตยแล้วนะจ๊ะ ดูสิ! มีเลือกตั้งด้วย

ถึงว่า..หัวเถิกรัตนโกสินทร์ ต้องคอยออกมาเตือนสติว่า ประชาธิปไตยไม่ใช่แค่การเลือกตั้ง เพียงแต่ว่าแค่ไหนแกไม่บอก ปล่อยให้ตีความกันเอาเอง จนยุ่งเป็นยุงตีกัน

ประชาธิปไตยแบบสารขัณฑ์ๆนั้น มีอำมาตย์เป็นตัวป่วน นายกฯเป็นได้ก็แค่จ๊อกกี้ จะมาทำหวือหวาซู่ซ่าไม่ได้เป็นอันขาด เพราะทุกอย่างอำมาตย์จัดการให้เสร็จสรรพแล้ว มีทั้งตัวชงตัวตบ คอยชี้นิ้วบงการ แอบเนียนควบคุมกลไกการบริหารประเทศอยู่เงียบๆ เรียบร้อยโรงเรียนอำมาตย์

ถ้าเปรียบสารขัณฑ์เป็นรถเมล์ ต้องเรียกว่ารถเมล์ผีสิงถึงจะเหมาะ เหตุเพราะว่ามีโชเฟอร์ที่มองไม่เห็น เป็นเจ้าประจำคอยขับซิ่งปรู๊ดปร๊าดอยู่แล้ว นายกฯถ้าอยากอยู่นานๆ ต้องทำตัวอย่างเฒ่าช้วนจอมแหล นั่นคือคอยรับรายงาน แล้วบีบแตรอย่างเดียว ห้ามยุ่งกับพวงมาลัยเป็นอันขาด ไม่งั้นจะมาหาว่าไม่เตือน ขืนมาทำซ่าเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวา เดี๋ยวแม่ตบติดเน๊ต

เรื่องของเรื่อง ที่มันเป็นเรื่องจนได้ ก็เพราะน้าทักแกหักเหลี่ยมโหด ไม่ฟังอีร้าค่าอีรม คว้าพวงมาลัยได้ก็ขับซิ่งยกล้อ ไม่ได้ดูตาม้าตาเรือเล้ย ว่าผู้โดยสารแต่ละตัว มันแก่งั่กกั้กน้องๆปู่เย็น ถึงได้พาทิ้งโค้งมุมแคบ เลี้ยวคว๊าบเข้าซอยเปลี่ยว เล่นเอาผู้เฒ่าผู้แก่ตกใจจนฉี่เล็ด ร้องหาพ่อแก้วแม่แก้วกันให้ลั่น ก็สองข้างทางมันมีแต่สลัม กับฝุ่นเมืองขมุกขมัว น่ากลัวจะตายไป

เพราะเหตุนี้ เรื่องที่มันควรจะจบแบบหนังสั้น เลยกลายเป็นมหากาพย์เรื่องยาว จะเป็นจะตายยังไง อำมาตย์ก็ต้องกำจัดแม้วให้จงได้ ที่สำคัญศักดินาก็เห็นชอบซะด้วย เพราะถูกเป่าหูว่าเป็นศัตรูร่วมกัน เพียงแต่ว่าประชาชนเขาไม่คิดอย่างนั้น ยังไงก็จะเอาน้าแม้วกลับบ้านให้ได้ เหตุผลเพราะว่าแกซิ่งมันดี ฝีมือสุดยอดเข้าขั้นระดับโลก ถึงขนาดประเทศน้อยใหญ่ จองคิวซื้อตัวกันเป็นแถว

เรื่องราวจะเป็นยังไงต่อไป คงต้องหายใจลึกๆ แล้วติดตามกันยาวๆ เพราะเรื่องมันชักจะเลยเถิด กลายเป็นการรบกัน ระหว่างประชาชนเจ้าของประเทศ ที่สิ้นไร้ไม้ตอก กับระบอบอำมาตย์ ที่ยิ่งใหญ่คับฟ้า ประกอบด้วย ขุนนางทั้งฝ่ายบุ๋นฝ่ายบู๊ ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ และตุลาการ นอกจากนั้นยังมีเหล่าบรรดาบัณฑิต ซึ่งก็คือนักวิชาการเฮงซวยทั้งหลายมาร่วมแจม โดยมีสื่อชั่วเป็นสุนัขรับใช้

โดยเนื้อแท้แล้ว คนสารขัณฑ์ส่วนใหญ่ ไม่ได้ปฏิเสธระบอบศักดินา แถมจะว่าไปแล้ว กลับเวลคัมด้วยซ้ำไป เพียงแต่ว่ามันมีระบอบอำมาตย์ ที่เป็นกำแพงกั้นระหว่างศักดินากับประชาชน พวกเวรตะไลในระบอบนี้ ชอบผูกขาดความจงรักภักดี แล้วถืออาญาสิทธิ์มาราวีผู้คน ทำตัวเป็นโก๋หลังวัง คอยดักตีหัวชาวบ้านอยู่เป็นประจำ

จึงช่วยไม่ได้ที่เมื่อถูกตีกระหน่ำ ชาวบ้านตาดำๆจะมองไปยังศักดินาอย่างเคลือบแคลง ยิ่งไม่มีใครในระบอบออกมาชี้แจง มันก็ยิ่งไปกันใหญ่ ดังนั้น เพื่อแสดงความจริงใจ ศักดินาจึงควรที่จะหันหลังให้กับระบอบอำมาตย์ แล้วหันหน้ามาหาปวงชน พูดกันตรงไปตรงมาก็คือ ต้องกำจัดระบอบอำมาตย์ทิ้งไป เพื่อลดความหวาดระแวง ระหว่างประชาชนกัีบศักดินา

จำไว้ว่า ไม่มีประเทศประชาธิปไตยที่ไหนในโลก ที่เลี้ยงอำมาตย์ไว้เป็นหอกข้างแคร่ เพราะว่า เมื่อเป็นประชาธิปไตยแล้ว ศักดินาไม่จำเป็นต้องอาศัยอำมาตย์ คอยคุ้มครองอีกต่อไป...

ภายใต้อ้อมกอดของประชาชน ศักดินาจะปลอดภัย ไปตลอดกาล...

วโรทาห์: 5 พ.ย. 51

1 comment:

Anonymous said...

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีความรัก ความห่วงใยต่อพสกนิกร สมควรแล้วที่เราๆ ท่านๆ จะต้องแสดงความบริสุทธิ์ใจ ตอบแทนความรักของพระองค์ท่านให้มากที่สุด