Friday, October 17, 2008

ประสบการณ์ผีๆ กับคนผีๆ

สมัยเด็ก เมื่ออายุซัก 3-4 ขวบเห็นจะได้ มีอยู่คืนหนึ่ง เพราะอาการปวดหัวตัวร้อนเป็นไข้ เลยนอนหลับไปแต่หัวค่ำ เวรกรรม มาตื่นเอากลางดึกกลางดื่น ลืมตาแป๋วแหววอยู่คนเดียวโด่เด่ เหลียวไปทางไหน เขาก็หลับกันคร่อกฟี้สบายอารมณ์ บรรยากาศอย่างนั้นมันวังเวงอย่าบอกใคร

ขณะที่กำลังใจแป้วอยู่นั้น สายตาเจ้ากรรมก็ดันเหลือบไปเห็นอะไรแว๊บๆอยู่ปลายเตียง พอหันขวับไปมองให้จะๆ ก็แทบจะร้องจ๊ากด้วยอารามตกใจ ไอ๊หยา..ผีหลอก

โอย..จะบ้าตาย มันมาให้เห็นกันเต็มๆตา เป็นร่างของชายคนหนึ่ง ยืนทะมึนอยู่ในเงามืด สวมเสื้อคลุมตัวใหญ่สีอึมครึม กับหมวกปีกแบบคาวบอยที่พวกเจ้าพ่อชอบใส่ หรือเอาง่ายๆ ก็ชุดที่โกตั๊บใส่ไปมอบตัวนั่นแหละ

ลักษณะท่าทางอย่างนี้ จะว่ามันมาดี คงไม่น่าจะใช่.. ตายละวา คราวนี้จะเอายังไงดี ยิ่งโง่ๆอยู่ เพิ่งลืมตามาดูโลกได้แป๊บเดียวเอง ใครจะไปรู้ว่าต้องรับมือกับผียังไง เมื่อทำอะไรไม่ได้ เลยต้องปล่อยให้สัญชาตญาณล้วนๆเป็นตัวจัดการ

ในสถานการณ์เช่นนี้ ตามหลักสากลท่านว่า ให้กระตุกผ้าห่มมาคลุมโปงไว้ แล้วจะปลอดภัยแล แต่เรามันนอกคอกผิดมนุษย์มนา ไม่กล้าคลุมโปงมาแต่ไหนแต่ไร ความที่กลัวว่า ถ้าผีมันมาเลิกผ้าห่มขึ้น แล้วจ๊ะเอ๋กันจังๆ จะมิยิ่งซวยหนักเข้าไปใหญ่ เลยเหลือแต่ไพ่สุดท้ายคือหันหัวสู้ผี ถ้าจะตีโง่ก็ให้มันรู้ไป

ตาประสานตา จ้องหน้ากันไปเลย เดี๋ยวก็รู้ ว่าใครหมู่ใครจ่า

ไอ้เรามันตั้งใจอยู่แล้ว ว่าจะไม่ลงมือก่อนอย่างแน่นอน เลยจ้องกันไปจ้องกันมาอยู่พักใหญ่ เอ๊ะทำไมมันไม่ขยับ จนสายตาเริ่มชินกับความมืด มองเห็นชัดแจ้งจางปาง เรื่องเลยแดงแจ๋ขึ้นมาดื้อๆ

บ้าเอ๊ย..ตกใจฟรี ผีเผอที่ไหนกัน นั่นมันของปลอมทำเหมือนนี่หว่า ไม่รู้ว่าใครมันสัปดน เอาเสื้อคลุมไปสวมไว้บนเสาไม้โด่เด่ เท่่านั้นไม่พอ ยังเอาหมวกครอบไว้ที่หัวเสาอีกต่างหาก เล่นเอาหนุ่มน้อยอนาคตไกล เกือบจะช็อคตายตั้งแต่วัยเอ๊าะๆ

นิทาน..เอ๊ย..เรื่องที่เล่ามานี้ เป็นอุทาหรณ์สอนใจว่า คนเราถ้ากล้าหันหน้าเข้าเผชิญกับความจริง สัจจธรรมนั้นคอยท่าอยู่แล้ว ถ้าวันนั้นดันคลุมโปงอย่างที่ใครๆเขาทำกัน ป่านนี้คงยังฝังใจไม่เลิก ว่าตัวเองมีประสบการณ์ขนหัวลุก เจอผีมาแล้วเจ๋งๆ ซ้ำร้ายยังจะเก็บมาเล่าเป็นตุเป็นตะ มอมเมาเยาวชนคนรุ่นหลัง ให้ลุ่มหลงเลอะเทอะไปได้อีกหลายชั่วคน

ถ้าว่ากันตามจริง เพียงแค่เอาปัญญาเข้าจับ ไม่ว่าใครต่อใคร ก็สามารถรู้ได้ด้วยตัวเองว่า ผีนั้นมันเป็นแค่มายา ดำรงอยู่ได้บนความกลัวของมนุษย์ล้วนๆ ถ้าเราไม่กลัวซะอย่าง มันก็ไม่ต่างจากหมาตัวหนึ่ง ตรงกันข้าม ถ้ายิ่งเคารพบูชามัน จะยิ่งเสริมอิทธิฤทธิ์มันให้แก่กล้ายิ่งขึ้น สุดท้ายก็จะย้อนศร กลายเป็นหอกดาบ กลับมาทิ่มแทงเราซะเอง

ขอเตือนไว้อย่าง ว่าอย่าเล่นกับผี เพราะว่าผีนั้นไม่เคยเชื่อง ความที่มันถือว่า มนุษย์นั้นเป็นขี้ข้ามัน ถ้าเซ่นไหว้ไม่ถึงเมื่อไหร่ เป็นได้อาละวาดกันบ้านแตก

แต่อย่างว่า ผีก็คือผี ต่อให้มีอิทธิฤทธิ์แค่ไหน ก็ทำอันตรายมนุษย์ไม่ได้ ถ้าไม่มีมนุษย์อุบาทว์ กินสินบาทคาดสินบน ยอมอุทิศตนเป็นร่างทรงให้พวกผี สุดท้ายแล้ว ไปๆมาๆ ก็มนุษย์ด้วยกันนั่นแหละ ข่มเหงคะเนงร้ายกันเอง จนวุ่นวายไปหมด ไม่ใช่ผีสางเทวดาที่ไหนหรอก

ไหนๆก็พูดถึงเรื่องผีแล้ว ก็เลยเถิดมาพูดเรื่องคนที่กำลังผีเข้ากันดีกว่า ไม่รู้ว่ามันเจ็บไข่มากหรือยังไงกัน พักหลังมานี้ผบ.ทบ.ชักจะหลงคีย์อยู่บ่อยๆ จนเมื่อวานนี่ยิ่งเป็นเอาหนัก ถึงขนาดออกทีวีมาเรียกร้องให้นายกฯลาออกกันดื้อๆด้านๆ ไม่อายฟ้า ไม่กลัวดิน

ไร้ค่า ไร้ราคาจริงๆ สำหรับคนๆนี้ คำพูดเพียงแค่คำเดียว ก็สามารถทำลายคุณค่าความเป็นมนุษย์ของคนๆหนึ่ง จนย่อยยับไม่มีชิ้นดี ในเมื่อกล้าพูดถึงขนาดนี้ แต่ไม่กล้าทำรัฐประหาร ยังจะเหลือคุณค่าอะไรให้นับถือกันอีก หรือคิดแค่ว่า ลอยตัวหลบหลีกปัญหาไปเรื่อยๆ ก็จะพ้นภัยจนตลอดรอดฝั่ง เพื่อนร่วมชาติจะเป็นยังไงก็ช่างมัน

สำหรับชาวประชาธิปไตยในยามนี้ ก็ต้องตั้งสติไว้ให้มั่น เรื่องอย่างนี้ยังจะมีมาอีกเรื่อยๆ จะว่าไป ก็ไม่ได้เกินความคาดหมายแต่อย่างใด ในเมื่ออ้อยเข้าปากช้างแล้ว ใครเขาจะยอมผ่องถ่ายกลับมาให้ง่ายๆ ยังไงก็ต้องสู้กันจนยิบตา

การตอบโต้นั้นต้องมีแน่ แต่จะรุนแรงแค่ไหน ยังไม่มีใครคาดเดาได้ มันอาจจะดูน่ากลัวกว่าที่คิด แต่ไม่ต้องตกใจ ทั้งหลายทั้งปวงขึ้นอยู่กับจิตใจล้วนๆ ว่าใจต่อใจ ใครจะแกร่งกว่ากัน

เมื่อทะเลคลั่งไม่ว่าใครก็หยุดยั้งมันไม่ได้ และไม่มีประโยชน์ที่จะพยายามทำเช่นนั้น มีแต่กาลเวลาเท่านั้น ที่คอยพิฆาตทุกสรรพสิ่ง เชื่อเถอะว่า ไม่มีสิ่งไหนท้าทายอยู่ได้เหนือกาลเวลา ต่อให้พายุนั้นยิ่งใหญ่แค่ไหน เมื่อขึ้นถึงขีดสุดแล้ว ยังไงก็ต้องอ่อนกำลังลงโดยลำดับ สุดท้ายย่อมจมหายไปกับกาลเวลา ไม่เหลือไว้แม้แต่เศษเสี้ยวธุลีดิน

ไม่เคยมีผู้ปกครองคนใดที่อยู่ค้ำฟ้า...

มีแต่ประชาชนเท่านั้น ที่จักอยู่ยั้งยืนยง ตราบชั่วกาลนาน

วโรทาห์: 17 ต.ค. 51

No comments: