Monday, April 21, 2008

เพลิงแค้นขุนศึกชรา ตอนวารีวัดใจ

วันที่สิบสองเดือนสี่เวียนมาบรรจบอีกคำรบหนึ่ง ย่อมถือเป็นธรรมเนียมที่วังจตุรพิษต้องจัดพิธี วารีวัดใจ ถือโอกาสตรวจสอบบัญชีรายชื่อผู้ภักดีต่อขุนพลเฒ่า ยิ่งงานปีนี้ยิ่งไม่ธรรมดา จึงต้องจัดเตรียมงานอย่างยิ่งใหญ่ เพื่อฟื้นคืนฐานะของผู้เป็นประมุข

นับแต่ขุนศึกชราจำต้องหลีกเร้นจากยุทธจักร ภายหลังถูกพลังฝ่ามือเทพบุตร ของโอรสแห่งสวรรค์ จนกระเด็นไปไกลหมื่นลี้ บารมีที่สู้สั่งสมมาเนิ่นนาน กลับพลันเลือนหาย กลายเป็นชายชราไร้พิษสงคนหนึ่ง หามีผู้ใดกริ่งเกรงอีกต่อไป งานปีนี้จึงเงียบเหงายิ่งนัก ขุนพลน้อยใหญ่ที่เคยมากันพร้อมเพรียง เสริมสร้างบารมีให้แก่เฒ่าหมื่นพิษอย่างล้นเหลือ มาครั้งนี้กลับหลบลี้หนีหายมิกล้าออกหน้า

ประมุขเฒ่านั่งคู้ตัวอยู่บนเก้าอี้ แบมือทั้งสองข้างวางไว้บนตั่งเบื้องหน้า รองรับวารีที่แม่ทัพสูงสุด หลั่งจากจอกเงินลงใส่ฝ่ามือหยาบกร้านตะปุ่มตะป่ำของมัน ความเย็นแห่งสายน้ำเพียงแค่นั้น ไหนเลยดับความร้อนรุ่มในจิตใจของมันได้ ดั่งถูกเพลิงนรกแผดเผาให้มอดไหม้ อากาศแห่งคิมหันตฤดูแม้ระอุร้อนเพียงใด ยังมิอาจเทียบได้กับความเร่าร้อนภายในจิตใจของจอมมาร

พลันที่แม่ทัพสูงสุดคล้อยหลัง เงาร่างสายหนึ่งก็พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วไร้สุ้มเสียง พลันม้วนตีลังกาครั้งหนึ่งด้วยวิชาตัวเบาสุดลึกล้ำ ก็ทิ้งต้วลงยืนเบื้องหน้าประมุขเฒ่า เป็นบุรุษผู้มีร่างกายสูงใหญ่ในชุดเกราะทอง ยืนตระหง่านน่าเกรงขาม หน้าผากกว้างบ่งบอกปัญญาเฉียบแหลม ใบหน้าเคร่งขรึมดุจดังพยัคฆ์ ดวงตากลมโต คมดุจตาเหยี่ยว ที่แท้เป็นแม่ทัพทหารดิน ผู้กุมกำลังภาคพื้นปฐพีอันเกรียงไกร

พลันที่ผู้เฒ่าเงยหน้าขึ้นสบตาบุรุษผู้นั้น ใบหน้าที่ยิ้มละไม พลันแปรเปลี่ยนบึ้งตึง มันสะบัดหน้าเบือนหนีไปด้านข้าง ท่วงท่าดั่งอิสตรียามขึ้งโกรธ อัศวินเกราะทองกลับมิได้ใส่ใจ พลันกระแทกฝ่ามือลงบนโต๊ะด้านข้างอย่างแผ่วเบา จอกเงินใบน้อยกลับลอยละลิ่วขึ้นสู่อากาศอย่างน่าพิศวง เพียงสะบัดข้อมืออีกครา ขุนพลใหญ่ก็ใช้นิ้วคีบจอกนั้น พลิกตักน้ำในอ่างทองคำขึ้นมาอย่างง่ายดาย ค่อยๆรินหลั่งวารีเย็นใสสู่อุ้งมือมาร

ดั่งถูกราดรดด้วยน้ำกรดอันแสบร้อน จอมมารขบฟันจนกรามขึ้นเป็นสันนูน พลันรวบรวมลมปราณ เปล่งเสียงเร้นลับกระแทกเข้าใส่โสตประสาทของขุนพลใหญ่ แต่ทว่า หามีผู้ใดได้ยินเสียงนั้นไม่นอกจากผู้ที่ต้องพลัง อา..นี่กลับเป็นเคล็ดวิชาพยัคฆ์รำพึงอันแสนพิศดาร มีแต่ผู้สำเร็จวิชาพลังภายในขั้นสุดยอดเท่านั้น จึงใช้เคล็ดวิชานี้ได้

"เจ้ายังมีหน้ามาอีกหรือ คนอกตัญญู" พลังเสียงเร้นลับที่กระแทกกระทั้นเข้าใส่โสตประสาทขุนทหารใหญ่นั้น ทั้งรุนแรงและอำมะหิต หากผู้รับมิได้มีพลังภายในสูงส่งแล้ว มีแต่โสตประสาทต้องแตกสลายลงในชั่วพริบตา แต่ทว่า..ขุนศึกผู้นั้นกลับยืนนิ่งเฉย เยือกย็นราวกับมิได้ยิน คาดไม่ถึง ยังตอบกลับมาด้วยเคล็ดวิชาสีหราชรำพึง

"ช้าก่อนผู้เฒ่า มิสู้สำรวมถ้อยคำ" พลังเสียงลึกล้ำนั้นกระแทกกลับเข้าใส่โสตประสาทของผู้เฒ่า จนต้องรีบเกร็งลมปราณขึ้นปิดป้องโสตประสาทไว้มิให้แตกสลาย พลันลอบแตกตื่นอยู่ภายในใจ อา..คนผู้นี้มิใช่ธรรมดา พลังภายในช่างลึกล้ำสุดหยั่งคาด ยังมิทันโต้ตอบกลับไป พลังเสียงอีกระลอกหนึ่งก็ตามติดมา

"ตัวข้าหาใช่บุตรบุญธรรมของท่านไม่ ใยจึงกล้าเอ่ยปากทวงหาบุญคุณ หากมิใช่เพื่อช่วยรักษาหน้าให้ท่าน ข้าหรือยินยอมบากหน้าเข้ามา ในเมื่อท่านกล้าเชิญ ข้าจึงกล้ารับ ฉายาของข้า บูรพาไม่แพ้ ปราบทั่วสิบทิศ ถือคุณธรรมเป็นกระบี่ แหงนหน้าไม่เกรงฟ้า ก้มหน้าไม่อายดิน แล้วเหตุใดเล่า จึงต้องเกรงกลัวมนุษย์เดินดินเยี่ยงท่าน"

"ช่างสามหาวนัก!" จอมมารเฒ่ายังมิเคยถูกใครตอบโต้ ถึงกับเลือดลมพุ่งพล่าน กระแทกพลังกลับไปอย่างรุนแรง "ซุนซามักเป็นบิดาเจ้าหรือไร จึงยอมตัวลงเป็นสุนัขรับใช้มัน"

"ผู้เฒ่าสมควรระงับโทสะ ใยจึงเอื้อนเอ่ยวาจาต่ำช้าเยี่ยงนี้" ขุนพลใหญ่ยังคงเยือกเย็น "อาวุโสซุนกับข้า คบหาด้วยใจ เราต่างเหมือนกัน ถือคุณธรรมมั่นไว้ในใจ ใช่เพียงลมปาก ซื่อสัตย์ดั่งกวนอู วาจาไร้เงื่อนงำ ภายนอกแข็งกร้าว ภายในอ่อนโยน ยิ่งคบหายิ่งสบายใจ ท่านผู้เฒ่า..เป็นเพราะท่านริษยาจนเกินไป จึงคิดร้ายถึงเพียงนี้ เป็นเพราะท่านมีแต่ได้มิเคยเสีย เมื่อต้องสูญเสียจึงมิอาจทำใจ ท่านสมควรรับรู้ไว้ว่า อำนาจนั้น หนักกว่าขุนเขา เบากว่าขนนก ละวางได้ จึงนับเป็นยอดคน"

คำพูดเพียงเท่านี้ ไหนเลยทะลุทะลวงกิเลสตัณหาของมารเฒ่าได้ มันเคยแต่สั่งสอนผู้คน เมื่อถูกสอนสั่งจึงมิอาจรับฟัง มันมิยินยอมโต้เถียงด้วย กลับรีบตัดบท

"มิต้องกล่าวแล้ว.. ขุนทหารผู้เป็นบุตรบุญธรรมของข้า ที่แท้แล้วมีกี่คน ที่ถูกพลังฝ่ามือ โยกย้ายฟ้าผ่าของเจ้า กระเด็นไปไกลนับพันลี้"

"ข้ามิเคยใส่ใจว่ามีมากเพียงใด ขอเพียงคืนความชอบธรรมได้ ข้าย่อมต้องลงมือ ในเมื่อพวกมันฉ้อฉลมา เมื่อต้องกลับไปอยู่ที่ของมัน ย่อมเป็นการสมควร คนอย่างข้าถือคุณธรรมเหนือสิ่งอื่นใด มิใช่เอ่ยอ้างเพียงแค่ปาก วาจาดั่งผายลม ลงมือเยี่ยงโจรป่า เพียงเพราะพลาดพลั้งถูกท่านชักนำไปปล้นอาญาสิทธิ์ปวงชนครั้งนั้น จนบัดนี้ข้ายังอดสูไม่หาย"
"เจ้า.." วาจากระแทกกระทั้น จนเฒ่าหมื่นพิษถึงกับเลือดลมพุ่งพล่าน ต้องผนึกลมปราณสะกัดเอาไว้มิให้ธาตุไฟเข้าแทรก

"ยังมี" บูรพาไม่แพ้ ยังคงเอื้อนเอ่ยต่อ "ในเมื่ออาญาสิทธิ์คืนสู่ปวงชนแล้ว ข้าซึ่งเป็นขุนศึก รับเบี้ยหวัดราษฎร ย่อมถือเป็นโอกาสทำคุณไถ่โทษ หากยังดื้อดึง ข่มขู่พวกเขา ข้ายังสมควรเป็นคนอยู่หรือ จึงขอเตือนไว้ว่า ในเมื่อข้ารับบัญชาให้มาพิทักษ์ปวงชน หากท่านยังมิยอมรามือ ก็จงอย่าหาว่า ข้าไม่ไว้ไมตรี.. แต่ถึงอย่างไร ท่านมิจำต้องแตกตื่น คนอย่างข้า ทำสิ่งใดมีแต่เปิดเผย มิเคยลอบกัดใครดุจดังสุนัข หัตถ์ของข้ามิเคยซุกซ่อน จึงยืดอกได้ มิอายฟ้าดิน"

"ยังมิรีบใสหัวออกไปอีกกก.. เจ้าคนถ่.." ขุนศึกชราถึงกับกระอักโลหิตออกมาลิ่มหนึ่ง ต้องรีบกล้ำกลืนกลับลงไป มิให้ผู้คนแตกตื่น

"เมื่อเป็นเช่นนั้น มิสู้ขอลา โปรดรักษาสุขภาพ.. มิอาจอยู่ให้ท่านขัดเคือง ยิ่งมิกล้ารบกวนผู้เฒ่าไปส่ง" อัศวินเกราะทองสะบัดจอกเงินลอยละลิ่วลงบนโต๊ะอย่างนิ่มนวล ค้อมคำนับพร้อมกล่าวอำลา พลันถอยออกไปก้าวหนึ่ง ก่อนจากยังกล่าววาจาอีกหลายคำ "ยังคาดหวังว่า มิต้องรอนาน ได้กลับมาหลั่งวารีอีกครั้งหนึ่ง เมื่อผู้เฒ่านอนหงายบนเตียง รองรับอุทกเจือน้ำยาอุทัยทิพย์ ด้วยฝ่ามือข้างเดียว ฮ่า ฮ่า ฮ่า"

กล่าวจบขุนศึกฝ่ายธรรมะพลันพลิกตัว หันหน้าไปทางตำหนักเจ้ายุทธภพของซุนซามัก แล้วพุ่งทะยานออกไปราวกับลูกเกาทัณฑ์พุ่งออกจากแหล่ง เพียงชั่วอึดใจ ร่างนั้นก็หายลับไปจากสายตา
ทิ้งไว้แต่เสียงหัวร่อ ที่ยังดังก้องอยู่ในโสตประสาทของขุนศึกชรา...

วโรทาห์: 20 เม.ย. 51

No comments: