Wednesday, October 3, 2007

สาส์นถึงผู้ที่อยู่แดนไกล



นับเป็นเวลาเนิ่นนานมาแล้วที่ข้าไม่ได้ขีดเขียนถึงเจ้า คิดไม่ถึง ล่วงเลยวันอัปมงคลที่สิบเก้าเดือนเก้าแล้วจึงมีโอกาสเขียนมาอีกครั้งหนึ่ง นี่ก็นับว่าครบรอบหนึ่งปีแล้วที่โจรถ่อยยกพวกเข้าปล้นแผ่นดินของเรา ทำให้เจ้าต้องจากไปอยู่แดนไกล

เวลาหนึ่งปีภายใต้เงื้อมมือมหาโจรก่อเกิดเรื่องราวมากมาย เป็นเวลาหนึ่งปีที่แสนทุกข์ยาก พวกโจรมิเคยคิดเหลียวแลทุกข์สุขของราษฎรแม้แต่น้อย กลับทุ่มเทสรรพกำลังเพื่อกำจัดเจ้าให้สิ้นซาก วาดหวังให้ราษฎรทั้งแผ่นดินหันมาสมานฉันท์ รวมหัวกันเกลียดชังเจ้าแต่ผู้เดียว

ช่างเป็นความคิดที่โง่เขลานัก เพียงเพื่อกำจัดคนคนหนึ่งมันถึงกับทำลายบ้านเมืองพินาศย่อยยับ เหตุเพราะมันไม่เห็นหัวราษฎรพี่น้องเราจำนวนมหาศาลที่หนุนหลังเจ้าอยู่ ยังคิดกำจัดให้หมดสิ้นไปพร้อมเจ้า

สุดท้ายพวกเรานอกจากไม่ตายยังกลับกล้าแข็งขึ้น พวกมันยิ่งนับวันยิ่งกลัดกลุ้มจนด่าทอกันเอง จิกตีกันดุจดังไก่ในเข่งยามตรุษจีน

เป็นเพราะมันไม่เห็นพวกเราอยู่ในสายตา ดูแคลนราษฎรว่าโง่เขลา ถูกเจ้าซื้อหาด้วยเงินตรา จึงทำให้พวกมันคาดการณ์ทุกอย่างผิดเพี้ยนไปหมดสิ้น มันคิดว่าราษฎรหาได้ผูกพันกับเจ้าไม่ เป็นเพียงชื่นชอบในเงินตราของเจ้า

พวกมันล้อเล่นกับศรัทธาของราษฎร จึงใช้ศรัทธาของพวกเขามาทุ่มเทบดขยี้เจ้า ศรัทธาในการยุติธรรม ศรัทธาในสื่อสารมวลชน ศรัทธาในสถาบันวิชาการ และแม้แต่ศรัทธาในตัวบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายกลับถูกนำมาใช้จนหมดสิ้น

ยังมีคนบางคนถึงกับชักใยอยู่เบื้องหลังโจรชั่ว เมื่อโจรปล้นสำเร็จ คิดว่าราษฎรชื่นชม ถึงกับรีบเสนอหน้าออกมารับความดีความชอบ คาดไม่ถึงถูกราษฎรสาปแช่งต้องรีบหดหัวกลับไป ต่อมากลับพลิกลิ้นปฏิเสธไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับพวกโจร

ศรัทธานั้นเปราะบางนัก สร้างก็แสนยาก รักษาไว้ยิ่งยากกว่า เพียงเดินผิดพลาดไปก้าวเดียว ศรัทธาที่สั่งสมมาหลายสิบปีก็พลันมลายหายไปในชั่วพริบตา
ศรัทธาของผู้คนใช่ว่านำมาใช้ส่งเดช หากถูกนำมาใช้เพื่อทำลายล้าง ศรัทธาย่อมเสื่อมสลายลงอย่างรวดเร็ว

รักชอบอาจแปรเปลี่ยนเป็นศรัทธา แต่ศรัทธาที่เสื่อมถอยแล้วไม่อาจหวนกลับไปเป็นความรักได้ มีแต่แทนที่ด้วยเคืองแค้นและเกลียดชัง ยังอาจลุกลามเป็นวิกฤติศรัทธา จนหักโค่นลงได้ ต่อให้ใช้ทรัพย์แผ่นดินไปมากมายป่าวประกาศเรียกศรัทธากลับคืน ยังคงไม่เป็นผล

ผู้เฒ่ากาลีบ้านกาลีเมืองทั้งหลายที่เคยโก่งคอขันเจื้อยแจ้วทุกเช้าเย็น บัดนี้สุ้มเสียงกลับแหบพร่า เสียงพูดเปรียบไปดั่งผายลมไร้ผู้คนนำพา

คิดขึ้นมาแล้วแค้นใจนัก นึกถึงมันกระหน่ำตีครอบครัวเจ้าอย่างต่ำช้าแล้ว พวกข้าต่างเจ็บแค้นแทนเจ้าอย่างยิ่ง แม้แต่เด็กเล็กมันยังไม่ละเว้น พวกมันตีเจ้าหนึ่งทีก็เหมือนตีพวกข้าหนึ่งที เจ้าเจ็บพี่น้องเรายิ่งเจ็บกว่า แค้นใจที่มิอาจออกหน้าช่วยเหลือเจ้าในยามคับขัน ได้แต่กล้ำกลืนเก็บไว้ในใจรอวันสะสาง

พูดถึงฮูหยินของเจ้า นางก็ช่างองอาจนัก คิดไม่ถึง อิสตรีอ่อนหวานนางหนึ่งหาญกล้ายืนสู้ตามลำพังในท่ามกลางฝูงอสุรกายกระหายเลือดอย่างทระนง ท่วงท่าสง่างามดั่งพญาหงส์ เยือกเย็นดุจนางสิงห์ แม้ปีศาจร้ายยังมิอาจไม่ครั่นคร้าม สมแล้วที่ถือกำเนิดจากตระกูลนักรบผู้กล้า

นับว่าเป็นวาสนาของเจ้าโดยแท้จึงมีฮูหยินที่ประเสริฐเยี่ยงนี้ เห็นนางยืนสู้เคียงบ่าเคียงไหล่เจ้าเสมอมามิเคยออกปากบ่นแม้แต่น้อย ถึงเจ้าไม่เอ่ย พวกเรายังรู้ได้ว่าเจ้ารักนางเพียงใด

ฟ้าดินเมตตา บัดนี้ครอบครัวของเจ้าก็ได้ไปอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาในที่ปลอดภัยแล้ว พวกข้าจึงค่อยวางใจ นับจากนี้ไปก็ถึงเวลาที่พวกเราจักได้สะสางกับพวกโจรชั่วแล้ว

บัดนี้กองกำลังพี่น้องเรานับสิบล้านซ่องสุมกันอยู่ทั่วแผ่นดิน พวกมันได้กลิ่นแต่ไม่อาจมองเห็นตัว ถึงกับหวาดกลัวราวกับสุนัขได้กลิ่นสาปเสือ คิดอ่านขอเลื่อนวันประลองยุทธออกไป แต่ถึงอย่างไรช้าเร็วพวกเราก็ต้องยึดอำนาจของเรากลับคืนมาจนได้

พวกเราความรู้ต้อยต่ำร่ำเรียนได้ครึ่งๆกลางๆ รู้จักหนังสือเพียงไม่กี่ตัว แม้หากวันหน้ายึดอำนาจกลับมาได้ก็จัดการไม่เป็น ไม่ว่าอย่างไรคงต้องรบกวนเจ้ากลับมาอีกครั้งหนึ่ง

ถึงเวลานั้นเจ้าคิดบ่ายเบี่ยงก็คงไม่ได้แล้ว ที่ผ่านมาเจ้าไม่ออกหน้า นำพาพวกเราต่อสู้กับพวกโจรเราไม่ถือสา ยังลอบกินส้มตำไก่ย่างอยู่แดนไกลไม่แบ่งปันพวกเรา ไม่มีใครคิดตำหนิเจ้าแม้สักครึ่งคำ ย่อมนับว่าได้อ่อนข้อให้เจ้ามามากแล้ว

พูดแล้วอับอายยิ่ง ข้ามีความในใจเล็กน้อยใคร่บอกเล่าให้เจ้าฟัง เจ้ารู้แล้วก็จงอย่าได้แพร่งพรายต่อไปอีก

ข้านั้นยิ่งมองแม่นางหลีเดี่ยคราใดยิ่งเห็นนางงดงามจับใจข้านัก ยังคิดขอร้องอาโอ๊คให้หลีกทางให้ข้าก่อนเพราะข้านั้นแก่แล้ว จากนั้นหวังไหว้วานเจ้าให้เป็นพ่อสื่อสักครั้ง

เสียดายมารู้ว่านางมีคู่หมายแล้ว จึงได้แต่เพียงคิดมิอาจตอแย แต่ถึงอย่างไร คนต่ำต้อยเยี่ยงข้าได้มีสิทธิวาดฝันตามใจปรารถนา เพียงแค่นี้ก็นับว่าสุขยิ่งแล้ว

สาส์นนี้ข้าต้องลักลอบขีดเขียนในยามค่ำคืนภายใต้แสงจันทร์ที่สาดส่องผ่านหน้าต่างเข้ามาในห้องนอนข้า

นี่ก็ใกล้เวลายามสาม ข้าคงต้องรีบเข้านอนแล้ว อีกครู่หนึ่งจะมีทหารผ่านมาตรวจตราในหมู่บ้าน หากถูกพวกมันจับได้ว่าติดต่อกับเจ้า ข้าคงมีภัยถึงชีวิต ถ้ายังไงเจ้าอ่านจบแล้วก็ขอให้ทำลายมันเสีย ไว้วันหน้าข้าจักเขียนมาใหม่

พี่น้องเราล้วนคิดถึงเจ้ายิ่งนัก หวังว่าได้กลับมาพบกันในเร็ววัน ยังฝากบอกให้เจ้าดูแลสุขภาพด้วย…

วโรทาห์: 1 ตุลาคม 2550

No comments: