Tuesday, May 6, 2008

ระบอบอำมาตย์...กำลังทำลายตัวเองอย่างเข้มข้น

19 กันยายน 2549 ถูกบันทึกเป็นวันอันน่าเศร้าอีกวันหนึ่ง เมื่อเครือข่ายอำมาตย์ ซึ่งหยั่งรากฝังลึกเกาะกินประเทศชาติมาช้านาน ได้ลุกขึ้นมากระทำสิ่งที่น่าละอาย ด้วยการนำกองทัพที่สร้างขึ้นด้วยภาษีของประชาชน มาทำการปฏิวัติล้มล้างรัฐบาลของพวกเขาเอง เป็นภารกิจอันน่าบัดสี เพียงหวังทำลายล้างคนไทยคนหนึ่ง ให้สูญสิ้นไปจากผืนแผ่นดินไทย

ท่ามกลางสายตาประชาชนที่มองมาอย่างเคียดแค้นชิงชัง มันเป็นการปฏิวัติที่ไม่มีการสูญเสียเลือดเนื้อ แต่ทำลายจิตวิญญาณอย่างย่อยยับ พวกเขาไม่ได้แยแสต่อคำก่นด่าสาปแช่ง ที่ดังอยู่อย่างอื้ออึง กลับเดินหน้าท้าทายอำนาจประชาชนอย่างสุดแสนอหังการ

การปฏิวัติที่ดูเหมือนง่ายดายที่สุดในประวัติศาสตร์ กลับกลายเป็นความผิดพลาดอย่างมหันต์ เป็นการปฏิวัติที่โง่เขลาที่สุดเท่าที่เคยมีมา เป็นการปฏิวัติที่ทำลายโครงสร้างสังคมจนย่อยยับ และนอกจากที่จะเป็นการปฏิวัติที่เต็มไปด้วยผลประโยชน์ส่วนตนและพวกพ้องไม่ต่างจากครั้งก่อนๆแล้ว ยังเต็มไปด้วยการทรยศหักหลังกันเอง และแฝงไปด้วยอคติอย่างรุนแรง

ณ.เวลานั้นพวกเขาไม่ได้เฉลียวใจแม้แต่น้อยว่า นั่นถือเป็นการเริ่มต้นทำลายตัวเองของระบอบอำมาตย์ อย่างเป็นทางการ การปฏิวัติครั้งนั้น อาจเป็นครั้งสุดท้ายที่ระบอบอำมาตย์ ได้มีโอกาสลุกขึ้นมากำชัยชนะไว้อย่างท่วมท้น ก่อนที่จะเดินหน้าไปสู่หายนะตราบชั่วนิรันดร

เหตุเพราะการปฏิวัติที่ไม่จำเป็นครั้งนั้น ได้ปลุกพลังประชาชนขึ้นมาโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ทำให้ประชาชนที่หลับไหลมานานนับศตวรรษ ได้ตื่นขึ้นมาเผชิญกับโลกแห่งความเป็นจริง โลกที่แสนเจ็บปวดจนยากที่จะยอมรับได้ ตื่นขึ้นมารับรู้ถึงการทรยศหักหลัง อย่างที่คาดไม่ถึง ทำให้ตระหนักว่าพวกเขาต้องลุกขึ้นมาต่อสู้ด้วยตนเอง เพื่อลูกหลานที่จะเติบใหญ่ในภายภาคหน้า

ไม่ว่าเหล่าอำมาตย์จะเชื่อหรือไม่ก็ตาม แต่พวกเขาก็ได้เผชิญหน้ากับประชาชนแล้วโดยไม่รู้ตัว เป็นการเผชิญหน้าขั้นแตกหัก ที่จำต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งพินาศย่อยยับลงไป สัจจธรรมจะได้รับการพิสูจน์อีกครั้งหนึ่งว่า ระหว่างระบอบอำมาตย์กับประชาชน ฝ่ายใดจะอยู่ยั้งยืนยง

เหล่าอำมาตย์ไม่เฉลียวใจเลยสักนิดว่า ได้พาตัวเองลงไปติดหล่มอยู่ในหลุมดำขนาดมหึมาแล้ว เป็นหลุมดำของการปฏิวัติประชาชน ที่พวกเขาขุดมันขึ้นมาเองโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เปรียบเป็นเช่นกองทัพอเมริกันอันอหังการ ที่เข้าไปติดหล่มอยู่ในสงครามอิรักจนยากที่จะถอนตัว

เหตุเพราะระบอบอำมาตย์ได้รับการสนับสนุนจากคนกลุ่มหนึ่ง ที่มีจำนวนมากพอที่จะทำให้พวกเขาเข้าใจผิดได้ว่า นั่นคือเสียงของประชาชน ทั้งที่ยังห่างไกลจากเสียงส่วนใหญ่มากนัก จนแม้เมื่อได้ประจัญหน้ากับเจ้าของอำนาจที่แท้จริง พวกเขายังบังอาจปฏิเสธเสียงส่วนใหญ่ของประเทศด้วยข้ออ้างที่น่าหัวร่อว่า ประชาชนถูกซื้อด้วยเงินตรา

พวกเขาพุ่งเป้าไปที่คนคนหนึ่ง โดยไม่สนใจว่าคนผู้นั้น อยู่ในความคุ้มครองของประชาชน ในฐานะคนไทยคนหนึ่งที่มีศักดิ์และสิทธิ์อันเต็มเปี่ยม ภายใต้ระบอบประชาธิปไตย

เมื่อระบุตัวตนข้าศึกผิดพลาด จึงไม่อาจกำหนดยุทธวิธีที่ถูกต้องได้ เมื่อคิดว่ากำลังต่อสู้กับคนคนหนึ่ง จึงใช้ยุทธวิธีที่จะบดขยี้ตัวบุคคล มาใช้ย่ำยีประชาชน เมื่อไม่รู้ตัวว่ากำลังต่อสู้กับประชาชน จึงไม่รู้สึกสะทกสะท้าน พวกเขาผิดพลาดอย่างมหันต์ เพราะไม่ได้มองปัญหาตามความเป็นจริง พวกเขาถูกโมหะจริตเข้าครอบงำจนปฏิเสธความจริงอย่างไม่ใยดี

สถาบันและองค์กรอิสระต่างๆที่คนของระบอบอำมาตย์ ได้แทรกซึมเข้าครอบงำอย่างเงียบเชียบมาช้านานแล้ว ออกปฏิบัติการเย้ยฟ้าท้าดิน ไม่เกรงกลัวหน้าอินทร์หน้าพรหม

ทั้งสื่อมวลชน นักวิชาการ นักปลุกระดม ข้าราชการ และพรรคการเมืองในอาณัติ ไม่เว้นแม้แต่กองทัพ และตุลาการ ต่างทำงานสอดประสานกันอย่างเป็นระบบ ด้วยยุทธวิธีการทำสงครามเต็มรูปแบบ เป็นสงครามอันไร้เกียรติ ที่ไทยหมายจะฆ่าไทยให้ด่าวดิ้น

ท่ามกลางความงุนงงสงสัยของประชาชน เมื่อไม่เป็นใจเหตุใดจึงไร้เสียงทัดทาน ท่ามกลางความหวังให้มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาช่วยยับยั้งสงคราม แต่ผลที่ได้คือความเงียบเฉยและเย็นชา พัฒนาไปสู่การเรียนรู้ของประชาชนอย่างช้าๆ จนประจักษ์ชัดในที่สุดว่า พวกเขาไม่อาจพึ่งพาใครได้นอกจากตัวเอง

การปฏิวัติประชาชนได้เริ่มขึ้นแล้ว และกำลังพัฒนาไปอย่างเงียบเชียบ โดยมีความอยุติธรรมเป็นแรงผลักดัน

การปฏิวัติประชาชนเมื่อเริ่มขึ้นมาแล้ว ย่อมดำเนินต่อไปจนสุดปลายทาง นับแต่นี้ต่อไป ทุกลมหายใจคือการต่อสู้ แม้ต้องสู้อย่างอดทนและยาวนาน แต่บั้นปลายคือชัยชนะอย่างไม่ต้องสงสัย พวกเขาอาจพ่ายแพ้บ้างเป็นบางครั้ง

แต่ถึงที่สุดแล้ว ประชาชนจะเป็นผู้ชนะตลอดกาล

วโรทาห์: 5 พ.ค. 51

No comments: