ยามราตรีอันเงียบสงัด ผู้คนต่างหลับไหลอย่างมีความสุข ในท่ามกลางอากาศที่เย็นสบาย แต่ในวังจตุรพิษนั้นกลับร้อนรุ่มยิ่งนัก ขุนศึกเฒ่าผู้เป็นประมุข ถึงกับนอนกระสับกระส่ายไปมา ประหนึ่งถูกไฟบรรลัยกัลป์แผดเผา อยู่ในอเวจีมหานรก แม้ฝืนใจเพียงใดยังมิอาจข่มตาให้หลับลงได้ แม้แต่เศษเสี้ยวโมงยาม
นับแต่ที่กองทัพอธรรมของมันพ่ายแพ้อย่างยับเยิน ให้แก่กองทัพพลังปวงชนอันเกรียงไกร ภายใต้การนำของจอมยุทธโผงผางผู้เด็ดเดี่ยว ในมหายุทธขั้นแตกหักวันที่ 23 เดือน 12 สร้างความเจ็บแ้ค้นให้กับมันอย่างแสนสาหัส จนถึงกับกระอักโลหิตออกมาลิ่มแล้วลิ่มเล่า จำต้องเร้นกายออกจากยุทธภพด้วยความอดสู
ค่ำคืนนี้แม้ไร้ดวงเดือน อาศัยแต่เพียงแสงดาวอันริบหรี่ ยังอาจมองเห็นเงาตะคุ่มๆของประมุขเฒ่า ลุกขึ้นมานั่งอยู่ที่โต๊ะหนังสือข้างหน้าต่าง หลังของมันงองุ้มลงจนเกือบชนชอบโต๊ะ ประหนึ่งโครงสร้างที่ผุพังใกล้ยุบราบลงเต็มที เส้นผมที่เคยดกดำ บัดนี้แปรเปลี่ยนเป็นขาวโพลนไปทั้งศีรษะ ฟันที่หลุดร่วงจนหมดปาก ยังทำให้ริมฝีปากยุบเข้าไปเนื่องจากไร้สิ่งค้ำยัน
คอของมันเอียงไปด้านข้าง เป็นผลจากการถูกเพลงเตะอันรุนแรงจนเส้นเอ็นขาดเมื่อวัยหนุ่ม นับว่าเป็นเอกลักษณ์ของบุรุษผู้นี้ ที่ชินตาผู้คนยิ่งนัก เวลาดึกสงัดเช่นนี้ สมควรเป็นเวลาที่ผู้อาวุโสต้องพักผ่อนอย่างยิ่ง แต่เฒ่าอธรรมกลับต้องมานั่งครุ่นคิด จมปลักอยู่กับความร้อนรุ่ม ด้วยแรงแค้นไฟริษยา
แสงเทียนอันริบหรี่ที่ตั้งอยู่บนโต๊ะ เปรียบได้กับวัยของมันที่ล่วงเลยจนเฉียดเข้าเก้าสิบขวบปี เพียงแรงลมเล็กน้อยยังอาจปัดเป่า ให้แสงเทียนแห่งชีวิตของมันดับมอดลงอย่างง่ายดาย ความตายย่อมนับว่าอยู่ไม่ไกลแล้ว อเวจียังอยู่ใกล้เพียงเอื้อมมือถึง แต่กิเลสตัณหา ความโลภหลง มิเคยสร่างซาลงตามสังขารอันโรยรา
ความคิดคำนึงผุดขึ้นมาในสมองอันอ่อนล้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า ย้อนหลังไปหลายสิบปีก่อน เมื่อครั้งที่มันถูกขับไล่ลงจากตำแหน่งเจ้ายุทธภพ ผู้คนต่างรุกไล่มันจนมิอาจรับมือ ต้องเปล่งวาจาว่า "ข้าเพียงพอแล้ว" เพื่อรักษาหน้ามันไว้ยามที่ก้าวลงจากตำแหน่ง มิให้บอบช้ำจนเกินไป หวังเพียงว่าวันข้างหน้ายังอาจกลับมาผงาดได้อีกครา
คาดไม่ถึง จอมยุทธเจ้าสำราญชักไช่ ผู้ที่ก้าวขึ้นมาสืบทอดตำแหน่งต่อจากมันนั้น กลับลุ่มลึกสุดหยั่งคาด ถึงกับยกย่องให้มันเป็น "ยุทธบุรุษ" ป่าวประกาศให้เหล่าชาวยุทธเคารพบูชา เบื้องหน้าเชิดชูเกียรติอย่างสูงส่ง ยากที่จะมีผู้ใดในแผ่นดินเสมอเหมือน แต่เบื้องหลังกลับซ่อนรังสีอำมะหิตสุดลึกล้ำ
ที่แท้แล้ว กลับเป็นแผน"ยกคนขึ้นหิ้ง"อันแยบยล หมายกลบฝังให้จอมยุทธเฒ่าหายออกไปจากยุทธภพ มิอาจย่างกรายกลับมาได้จนชั่วชีวิต เนื่องเพราะประมุขพรรคเผ่าไทผู้ปราดเปรื่อง ย่อมเล็งเห็นแล้วว่า ขุนศึกเฒ่าผู้นี้โหดเหี้ยมยิ่งนัก แม้ยังขืนปล่อยให้โลดแล่นต่อไปในยุทธภพ ภายภาคหน้าจักก่อเกิดภยันตรายใหญ่หลวงต่อเหล่าชาวยุทธ
ยังมีมือสังหารใดที่น่าครั่นคร้ามไปกว่า นักฆ่าที่ซ่อนมีดไว้ในใจ ภายนอกดูเยือกเย็น ใบหน้ายิ้มแย้ม อิ่มเอิบไปด้วยความสุข สุ้มเสียงเจรจาเนิบนาบ ดั่งนักพรตที่เต็มเปี่ยมไปด้วยเมตตาธรรม แต่ภายในนั้นกลับพร้อมปลิดชีพได้ทุกเมื่อ โดยที่เหยื่อไม่ทันระวังตัว ยุทธภพจึงต่างเรียกขานด้วยความหวาดหวั่น "นักฆ่าแห่งลุ่มน้ำเจ้าพระยา"
อำนาจนั้นช่างหอมหวานนัก เมื่อได้ลิ้มลองแล้วยากยิ่งนักที่ผู้ใดยังอาจตัดใจ ขุนศึกเฒ่าจอมโหดไหนเลยยอมวางมือง่ายดาย ด้านหนึ่งมันปลาบปลื้มยิ่งนัก ที่มีผู้คนมากราบไหว้ นับว่าได้ส่งเสริมบารมีให้มันอย่างยิ่ง อีกด้านหนึ่งกลับลอบฝึกพลังหัตถ์ล่องหนอย่างตั้งใจ จวบจนบรรลุถึงขั้นสุดยอด
ขุนศึกเฒ่าค่อยๆยกมืออันหยาบกร้านขึ้นมาตรงหน้าู แสงเทียนแม้ริบหรี่ยังเพียงพอให้มองเห็น แผลเป็นพุพองตะปุ่มตะป่ำ อันเป็นร่องรอยจากการใช้งาน มาอย่างหนักหน่วงและยาวนาน แท้จริงแล้ว หัตถ์ล่องหนคู่นี้มิใช่หรือ คือหัตถาครองพิภพ ที่สร้างอำนาจให้มันมา ต่อเนื่องยาวนานหลายสิบปี โดยที่มิมีผู้ใดระแคะระคาย
ใบหน้าอันเรียบเฉยแต่แฝงรอยแค้นอย่างลึกล้ำนั้น กลับแสยะยิ้มอย่างเยือกเย็น นี่นับว่าเป็นสิ่งเดียวที่ยังคงหล่อเลี้ยงชีวิตของมันเอาไว้ ในท่ามกลางการศึกที่ร้อนระอุคลั่งอยู่ทุกคืนวัน ยังมีหัตถาคู่นี้ที่วางใจได้เสมอ.. แต่ทว่า.. มาถึงวันนี้.. เฮ่อ...
พลันดวงตาทั้งคู่กลับเบิกโพลงขึ้น แววตาอันขุ่นข้นนั้นฉายแววอาฆาตแค้นเจิดจ้า ผู้ใดพบเห็นมิอาจไม่เย็นยะเยือกเข้าไปถึงขั้วหัวใจ ร่างงองุ้มสะท้านขึ้นมาคราหนึ่ง ลิ่มเลือดพลันทะลักออกมาจากมุมปาก ใบหน้าแปรเปลี่ยนเป็นบูดเบี้ยว แหงนมองขึ้นเบื้องบน พลันเปล่งวาจาแหบพร่า เล็ดลอดไรฟันออกมาอย่างยากเย็น
"มันกับข้ามิอาจอยู่ร่วมปฐพี หากแม้นผืนดินยังมิกลบหน้า ข้าขอสาบานต่อฟ้า.. จักตามล่าล้างผลาญมันไปทั่วพิภพ.. มิตาย มิยอมเลิกรา.."
"มิตายยยยยย มิยอมเลิกราาาาาาาาา"
=======================
วโรทาห์ 23 มี.ค. 51
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
1 comment:
อ่านแล้วนึกว่าอ่านสำนวนโก้วเล้งนะ
แฟนคลับจาก รดน ค่ะ
Post a Comment