Monday, February 28, 2011

เรื่องโง่ๆ ยังวางใจอำมาตย์ได้เสมอ

อะไรเอ่ย? ผู้คนเข้าๆออกๆอย่างกับห้างฯแต่ไม่ใช่ห้างฯ...คำตอบก็คือ "คุกประเทศไทย" ตายแลนด์ แดนแห่งคนตอแหล ในยุคที่มีนายกฯเป็นนอมินีทรราช คนที่มีสองสัญชาติแต่ถือสันดานเดียวคือ...สันดานขี้ข้าอำมาตย์

ตกฟากในประเทศแม่แบบประชาธิปไตย แต่ฝักใฝ่เผด็จการโคตรๆ

จะมียุคไหนสมัยใดอีก ที่คนไทยได้รับแจกตั๋วไปทัวร์ห้องกรงอย่างไม่บันยะบันยัง ดังเช่นยุคที่"พรรคประชาวิบัติ"ครองเมือง จ้างให้ก็ไม่มีวันนี้ ถ้าประเทศไทยไม่โชคดีได้อภิสิทธิ์มาเป็นนายกฯ และถ้าไม่ใช่รัฐบาลประชาธิปไตย ที่สุมหัวกันจัดตั้งในค่ายทหาร มีหรือที่เราจะได้โปรโมชั่นกินฟรี อยู่ฟรี

แถมยังพาทัวร์ขึ้นศาลลงศาลทั่วราชอาณาจักรเป็นระยะๆ โดยไม่ต้องควักเนื้อจ่ายเองแม้แต่บาทเดียว

อะไรไม่ว่า บริการนี้ยังอุตส่าห์มี 2 มาตรฐาน จัดการประเคนให้คนเสื้อแดงเป็นการเฉพาะ โดยไม่สนใจหางเหลืองที่ได้แต่ยืนสี่ขาทำตาปริบๆ ก็ขนาดว่า กรุ๊ปทัวร์ 7 นปช.ยังไม่ทันหมดโปรโมชั่นดี ลุงสุรชัยก็ได้วีซ่าฉายเดี่ยวเข้าเสียบแทน ชนิดทันทีทันควัน อย่างกับเตี๊ยมกันมา ยังไงยังงั้น

ฝ่ายหนึ่งออก ฝ่ายหนึ่งเข้า รับไม้ต่อกันอย่างพอดิบพอดีไม่มีขาดช่วง ถ้าจะบอกว่าเดินพาเหรดสวนสนามกันหน้าคุกเลย ก็คงจะไม่ผิด แล้วอย่างนี้ มีหรือที่จะไม่กลายเป็นขี้ปากให้ฮือฮาซี๊ดซ๊าด อ่านหมากกันยกใหญ่ ว่าอำมาตย์เล่นไม้นี้ มันจะมาไม้ไหน

ธรรมชาติของคนเสื้อแดงนั้น ย่อมใช้สมองมากกว่ากำลัง จึงเป็นเหตุให้คิดไม่ค่อยทันอำมาตย์ เพราะกระบวนการคิดของพวกเผด็จการนั้น มันเรียบง่ายสุดๆ ประดุจดังใช้หัวแม่เท้าคิดก็ว่าได้ คือนึกอยากจะทำอะไรมันก็ทำ เห็นอะไรแว๊บๆมันก็ตอบโต้ออกไปทันที โดยไม่ต้องคิดหน้าคิดหลังให้รอบคอบเสียก่อน

เป็นธรรมดาที่ว่า คนมีปืนย่อมใช้ปืนเป็นอาวุธหลัก คนมีอำนาจย่อมยึดเอาอำนาจเป็นสรณะ แล้วมีหรือที่อำมาตย์ซึ่งเพียบพร้อมทั้งอำนาจและปืน จะยังมัวมะงุมมะงาหลา ตุ้มต๊ะตุ้มตุ้ยลุยถั่ว ใช้ปัญญาเป็นอาวุธอยู่ได้

จะมีก็แต่ประชาชนมือเปล่าเท่านั้น ที่ด้อยโอกาสทางอำนาจ จึงจำต้องใช้สติปัญญามาต่อกรกับสไนเปอร์

อันมนุษย์เรานั้น ไม่ว่าจะคิดอ่านทำการสิ่งใด ก็มักจะเอาตัวเองเป็นตัวตั้งเสมอ คนฉลาดจึงมักจะคิดว่าคนอื่นฉลาดเหมือนตัว ในขณะที่คนโง่ก็คิดว่าคนอื่นคงโง่ไม่แพ้กันซักเท่าไหร่ ไม่งั้นมีหรือที่พวกอำมาตย์ จะเดินแผนผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำอีก จนทำให้มีวันนี้จนได้

วันที่โคตรอำมาตย์ต้องมาลุ้นระทึกว่า เมื่อไหร่อียิปต์โมเดลจะมาถึงตัวเองและวงศ์ตระกูล

เพราะความโง่ตัวเดียวแท้ๆ ที่ทำเกมพลิกผันจากรุกเป็นรับ กลายเป็นรบมั่วไปหมด จากไล่บี้ทักษิณ กลายเป็นหันมาล่อเละกับประชาชน จาก 6 ตุลา ไล่ทุบนักศึกษา กลายเป็น 19 พฤษภา ไล่ยิงผู้ปกครอง แนวโน้มเห็นได้ชัดเจนว่า กำลังเดินหน้าสู่หายนะโดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

แต่จนแล้วจนรอด จนถึงป่านนี้ ก็ยังไม่เคยสำนึกได้ซักทีว่า ตัวเองทำอะไรโง่ๆลงไปบ้าง ใครกันที่อนุมัติให้ทำรัฐประหาร จนพาประเทศดิ่งเหว โงหัวไม่ขึ้นจนถึงทุกวันนี้ ใครกันที่ส่งซิกส์ให้ฆ่าหมู่ประชาชน จนตาสว่างกันไปทั่วบ้านทั่วเมือง แล้วยังมาทำลอยหน้าลอยตา บ่ฮู้บ่หัน บ่ใช่คนแถวนี้

แล้วแทนที่ว่า ไหนๆก็รั้งเอาไว้ไม่อยู่แล้ว ก็น่าจะปล่อยแกนนำเขาไปแต่โดยดี แต่นี่ดันหันไปแว้งกัดลุงสุรชัยเข้าให้อีก กลายเป็นอีกหนึ่งความโง่ ที่ไปช่วยอัพเกรดให้ลุงแก โดยไม่ต้องร้องขอ

คงจำกันได้ว่า ก่อน 19 พฤษภา "วันสไนเปอร์แห่งชาติ" ตอนนั้นลุงสุรชัยยังไม่มีราคาค่างวดซักเท่าไหร่ พูดอะไรก็ไม่ค่อยมีใครสนใจฟัง แม้จะตะโกนเสียงดังจนแก้วหูแทบแตกว่า "ถ้าไม่ไปเชียงใหม่ ก็เหมือนไม่ได้ประชาธิปไตยที่แท้จริง" คนส่วนใหญ่ก็ยังยืนกรานเดินตามสามเกลอ ลงแค่นครสวรรค์ก็พอถมถืด

ดีที่ว่า งานนั้นอัศวินม้าขาวเขาถือดีอวดเด่น ไม่เล่นตามคิวที่สามเกลอบรรจงใส่พานถวายให้ ไม่งั้นมีหวังคนเสื้อแดงต้องหลงเหลี่ยมผิดคู ล่อผิดตัว เล่นผิดคนไปกันยกใหญ่ บังเอิญว่าอำมาตย์ยังโง่เสมอต้นเสมอปลายไม่สร่างซา จึงเลือกที่จะเล่นบทโหด "มาหมื่นตายหมื่น มาแสนตายแสน"

เรื่องถึงได้บานปลายขายปลาช่อน ปิดหีบไม่ลงมาจนตราบเท่าทุกวันนี้

มวลชนที่กำลังละล้าละลัง เอาดีไม่เอาดี พอโดนกระสุนความเร็วสูงเข้าเท่านั้น ก็สามัคคีกันโดดกลับขึ้นรถไฟแทบไม่ทัน คราวนี้เอาไงเอากัน ต่อให้ตีตั๋วยืน ก็ต้องขอจองกฐินไปถล่มเชียงใหม่ให้ได้ ขนาดคนแก่ใกล้ตาย ยังไม่วายกุลีกุจอขอต่อวีซ่ากับพญายม เพื่อสืบสานปณิธานอันแน่วแน่ว่า "กูจะอยู่ ดูมึงตาย"

มีอย่างที่ไหน คนเคยเคารพนบไหว้กันมาแท้ๆ ไม่นึกว่าจะกลับกลายเป็น "โหดที่สุดคือเฮีย เฮี่ยที่สุดคือซ้อ"

เมื่อมวลชนลงความเห็นเป็นเอกฉันท์ว่า จะไปแอ่วเจี๋ยงใหม่กัน เท่านั้นแหละ ลุงสุรชัยในฐานะโชเฟอร์มือหนึ่ง ก็ดูมีน้ำมีนวลขึ้นมาทันตาเห็น คราวนี้ไม่ว่าแกจะขยับปากพูดอะไรออกมา ประชาชนเป็นต้องเงี่ยหูฟัง ไม่ว่าแกจะขยับก้นไปทางไหน สันติบาลเป็นต้องคลานตาม อย่างกับสุนัขได้กลิ่นอุจจาระ ยังไงยังงั้น

แล้วหลังๆมานี่แกก็ขยันพูดซะจัง พูดได้พูดดีอย่างกับผีเจาะปาก พูดทีไรเป็นต้องบาดลึกเข้าเนื้ออำมาตย์ เล่นซะเหวอะหวะถึงกระดูกดำทุกครั้งไป

ถ้าไม่ตัดไฟเสียแต่ต้นลม มีหวังว่าประชาชนได้ตาสว่างโร่เป็นตาตั๊กแตนไปทั่วประเทศ สมุนอำมาตย์จึงต้องหาวันเหมาะๆ ตัดสินใจเข้าชาร์จ พาลุงแกไปเข้าคุก หวังฆ่าตัดตอนไม่ให้แกได้พูดอีกต่อไป เพราะว่าในคุกนั้น "พูดได้แต่ห้ามใช้เสียง คิดได้แต่ห้ามเขียนออกมา"

การปิดปากฝ่ายตรงข้ามนั้น ถือเป็นยุทธวิธีที่ทันสมัยมากเมื่อกว่า 60 ปีก่อน ในยุคที่การส่งเสียงตามสาย ยังถือเป็นนวัตกรรมแห่งอนาคต อันเป็นความหวังของมวลมนุษยชาติ แต่ข้อเสียของมันก็มี คือเมื่อเผยแพร่ออกสู่สาธารณะแล้ว ก็จะอันตรธานหายไปกับสายลม ดังนั้นถ้าเพียงแค่ตัดตอนไม่ให้พูดซ้ำได้อีก ทุกอย่างก็จะเงียบกริบอย่างกับเป่าสาก

อาจจะเพราะว่าอำมาตย์ยังมุดรูอยู่ จึงไม่รู้ว่านี่คือปี 2011 ยุคที่เสียงทั้งหมดสามารถบันทึกเอาไว้เป็นคลิป และส่งต่อกันไปได้ ง่ายกว่าแจกขนม ดังนั้นการที่ลุงสุรชัยหุบปาก จึงไม่ได้หมายความว่าแกหยุดพูด เพราะว่าคลิปที่แพร่ไปเรื่อยๆมันไม่ยอมหยุดด้วย แถมการจับแกยังเป็นการไปกระตุกต่อมอยาก ให้ชาวบ้านเสาะแสวงหามาฟังกันยกใหญ่

จะได้ช่วยกันวิเคาะวิแคะแกะเกาว่า เพราะเหตุใดลุงแกจึงได้รับเกียรติถึงปานนั้น

การอุ้มลุงสุรชัยไปเก็บ ก็แค่ทำให้ไม่มีคลิปใหม่ออกมาเสิร์ฟเท่านั้น แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหา เพราะสิ่งที่อยากจะพูด ลุงแกก็ได้พูดออกมาจนหมดเปลือกแล้ว ถึงจะปล่อยให้พูดต่อไปอีก มันก็คงวนเวียนซ้ำซากเหมือนเดิม ไม่มีอะไรใหม่ไปกว่านั้นอีก นับได้ว่า อำมาตย์ตัดสินใจช้าไปหนึ่งก้าว..อีกแล้วครับท่าน

เป็นเรื่องปกติของคนโง่อยู่แล้ว ที่เรื่องดีๆมักจะช้าไปหนึ่งก้าว เรื่องร้ายๆจะเร็วไปหนึ่งก้าว แต่ถ้าเป็นเรื่องฉิบหายแล้ว มักจะมาถูกที่ถูกเวลาเสมอ

กล่าวฝ่ายลุงสุรชัยที่กำลังนั่งซดโอเลี้ยงเพลินจนพุงกาง การที่แกตัดสินใจ "วอน นอน คุก" อย่างนั้น ย่อมไม่ใช่เหตุรู้เท่าไม่ถึงการณ์อยู่แล้ว นักปฏิวัติระดับแถวหน้าขนาดนั้น ทำไมจะไม่รู้ว่าตัวเองพูดอะไรออกไป แล้วการที่พูดออกไปอย่างนั้น ก็คงไม่คาดหวังว่า จะได้รับการประกาศเกียรติคุณจากอำมาตย์เป็นแน่แท้

เพียงแต่ว่า ถ้าไม่พูดอย่างที่ว่า ก็สู้นอนเกาพุงอยู่ที่บ้าน ยังจะมันซะกว่า

นักรบเดนตายอย่างลุงสุรชัย การที่ยังมีลมหายใจอยู่ทุกวันนี้ ถือเป็นโบนัสทั้งนั้น ถ้านับจากวันที่รอดปากเหยี่ยวปากกามาได้ในอดีต แกฟาดกำไรชีวิตไปแล้วไม่รู้เท่าไหร่ ชีพจรสุดท้ายในบั้นปลายชีวิตที่เหลืออยู่ไม่มาก

ถ้าจะเจียดมาวางเดิมพันล้มเจ้า(มือ)ซักเล็กน้อย...จะเป็นไปไรไป

วโรทาห์: 28 ก.พ. 54