หลังจากเกิดอุบัติเหตุ รถบรรทุกแห้วคว่ำ ในสนามเลือกตั้งสก.สข.กทม. เมื่อวันอาทิตย์ที่ 29 สิงหาคมที่ผ่านมา ความเซ็งก็แผ่ซ่านไปถ้วนทั่ว ในมวลหมู่นักกู้ซากทั้งหลาย ตั้งแต่หัวยันหาง ยันกลางตลอดตัว ต่างก้มหน้าก้มตาฟาดแห้วกัน อย่างเอาเป็นเอาตาย
เวรกรรม..คว่ำที่ไหนไม่คว่ำ ดันมาคว่ำใส่พรรคการเมืองใหม่ ที่ชั่วโมงนี้ ฟอร์มกำลังสด เหลือกำลังลาก
สดไม่สด ก็ขนาดพกความมั่นใจมาเต็มร้อย ฟิตกันเต็มถัง ใส่กันเต็มสูบ กรุงเทพฯ..ทราบแล้ว..เปลี่ยน งานนี้ไม่หมู่ก็จ่า ยังไงก็ต้องเห็นหน้าเห็นหลัง จึงไม่ได้เผื่อใจไว้แม้แต่น้อยนิด สำหรับผลตอบรับที่อาจจะเกินคาดหมายไป หลายกิโลขีด
มีอย่างที่ไหน พอเปิดซิงงานแรกก็ทำนิวโลว์เข้าให้ หลงจ้งเก๋าเจ้ง ได้รับความไว้วางใจให้เข้าสภาไป"ศูนย์"หน่อ
ขนาดแถวตลาดเก่าเยาวราช ถิ่นของอาอึ้มอาม่า อาเฮียอากู๋ อาเจ็กอาแปะ ลูกจีนกู้ชาติ กากี่นั้งแท้ๆ พอเอาเข้าจริง ไม่รู้หายหัวไปมุดรูกู้ซากอยู่หนไหน ถึงได้แปรเป็นผลคะแนนออกมาหร็อมแหร็ม พอๆกับขนจั๊กกะแร้ ของอาหมวยวัยเอ๊าะ
ถ้ารู้อย่างนี้ซะแต่แรก เรื่องอะไรแป๊ะจะไปยอมตระบัดสัตย์ ให้พ่อแม่พี่น้องเอารองเท้ามาลูบหน้า ให้มันเสียหมากันเล่นๆ ใครจะไปรู้ว่า คนที่เคยแห่มาให้กำลังใจ ร่วมเป็นร่วมตาย ร่วมเฮี่ยมาด้วยกัน จะกลับหลังหัน ไปเลือกพรรคแมงกะจั๊วกันเป็นแถว
หมดกัน..หลงฝันเปียกมาตั้งนาน ว่าที่เห็นโพกหัวกู้ชาติ เขย่ามือตบกันเย้วๆ ไปไหนไปกัน ยึดไหนยึดนั่น ที่แท้ก็พลพรรคแมลงสาบทั้งนั้น ที่ส่งมาหลอกแป๊ะให้ช่วยไล่ ทำลายล้างศัตรูทางการเมือง พอเสร็จสมอารมณ์มหาย ก็ถีบแป๊ะตกเตียงหงายเก๋ง..หายโง่เป็นปลิดทิ้ง
สรุปว่า..กรุงเทพฯ..ทราบแล้ว..เจ๊งงงงงง
หันรีหันขวาง ไม่รู้ว่าจะโทษใครดี ก็คงต้องชี้นิ้วไปที่พลังเงียบไว้ก่อน เห็นบอกว่า ฝ่ายกุมอำนาจมันเล่นเลือกตั้งกันเงียบๆ ทำให้พลังเงียบไม่ออกมาเท่าที่ควร ทำอย่างกับว่า ถ้าพลัง
เงียบออกมาแล้ว เขาจะเลือกพรรคของแป๊ะ อย่างนั้นแหละ
ทำเป็นเล่นไป ถ้าพลังเงียบออกมา อาจจะเงียบกว่านี้ก็เป็นได้ ใครจะไปรู้
หลังจากที่ฟาดแห้วจนหายอยาก ก็ได้เวลาหันมาฟาดปากกันเอง เมื่ออาแปะลิ้มซ่งติงเริ่มหันมาเฉ่งอากงสมสากเคราแพะ หาว่าสง่าราศีไม่แพ้พวกเกี๋ยวกุ้ยข้างถนน พูดง่ายๆว่าน่าจะเป็นหัวหน้ากรรมกร มากกว่าที่จะมาเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองของคนชั้นกลาง
คาดว่างานนี้คงได้มีเรื่องให้ลุ้นเสียวกันอีกยาว สำหรับอาซิ้มอาซ้อที่คาดหวังไว้เต็มเปี่ยมว่า จะได้การเมืองใหม่ ประชาธิปไตยจ๋า 70/30
คงต้องฟาดแห้วรอกันอีกหลายชาติ
ผิดกับพรรคเพื่อไทยที่ได้รับการหนุนหลังอย่างล้นหลาม จากมวลชนคนเสื้อแดงที่โตวันโตคืน ขนาดโดนถลุงจนเป๋ไปเป๋มา ก็ยังทรงตัวอยู่ได้ไม่มีปัญหา เลือกตั้งทีไรคะแนนเสียงก็
มาเป็นกอบเป็นกำ ต่อให้ถูกแมลงสาบโกงจนเข้าวิน ยังตามหายใจรดต้นคอ ให้ได้เสียวซ่านไปถึงรูทวารทั้งเจ็ด
กลายเป็นหนามยอกอกชิ้นใหญ่ของพวกอำมาตย์ ที่อยากจะสับเนื้อเป็นชิ้นๆ แต่ก็ทำได้เพียงแค่คอยแช่งชักหักกระดูก แล้วก็แสดงพลังดูดกันอย่างหน้าด้านๆ ขนาดดูดได้แค่โสเภณี
2 นาง ที่แพ็คคู่เป็นแพ็คเกจ ก็ตีปีกดีใจว่าเพื่อไทยเลือดไหลไม่หยุด หารู้ไม่ว่า เขาสาปส่งกันทั้งบาง
เลือดชั่วๆ! ไหลออกไปอยู่กับพรรคชั่วๆ! มันก็สมควรแล้ว
วโรทาห์: 8 ก.ย. 53
Wednesday, September 8, 2010
Monday, September 6, 2010
มียาดีมาฝากป้าอุ๊
ยอมรับเลยว่า ผมนั้นเสล่อมากที่ไม่รู้จักป้าอุ๊ แต่กลับคุ้นเคยดีกับนามแฝง "thaitiger" ในประชาไท เหตุเพราะได้แอบอ่านข่าวสารการเมือง ที่ท่านคัดสรรบรรจงคีย์ใส่คอมพ์ มาให้พวกเราได้อ่านกันทุกเช้า นับเป็นความเสียสละอันใหญ่หลวง อย่างประมาณค่ามิได้
ก็แน่หละ จะมีคนไทยสักกี่คน ที่ทนอ่านสื่อสวะพวกนั้นได้ ถ้าไม่ใช่ป้าอุ๊
พอได้ข่าวว่าป้าอุ๊ผู้มีจิตใจอันงดงาม ต้องมาป่วยเป็นมะเร็งขั้นร้ายแรง ก็เล่นเอาใจหายวาบ นึกไม่ถึงว่า ขนาดบุญกุศลที่สั่งสมมาถึงเพียงนี้ ยังไม่สามารถคุ้มครอง "พี่ผู้มีแต่ให้" ของพวกเราได้
เป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์ว่า สวรรค์ไม่ได้มีตาอย่างที่เราเคยเข้าใจกัน จึงอย่าได้คาดหวังว่า ทำดีแล้วจะมีเทวดามาปกปักรักษา เพราะแม้แต่เทวดาเองยังเจียนอยู่เจียนไป สิ้นบุญเมื่อไหร่ก็ดิ่งนรกตกเหว ไม่ได้ผุดได้เกิดเป็นเหมือนกัน
บังเอิญวันนี้ได้อ่านหนังสือที่เขียนโดยท่าน"อาจารย์พรหม" ซึ่งเป็นชาวอังกฤษ ที่มาบวชเป็นพระป่า ในสายของท่านอาจารย์ชา สุภัทโท ในบทที่พูดถึงการระงับความปวดโดยไม่ต้องพึ่งยา ซึ่งได้ผลชะงัดนัก
จึงเห็นช่องว่า เป็นโอกาสดีที่จะได้คัดลอกมาให้คุณป้าได้อ่าน เป็นการตอบแทน ที่ท่านอุตส่าห์นั่งหลังขดหลังแข็ง คีย์คอมพ์ให้พวกเราได้เสพข่าวมาตั้งนานนม
เพราะว่าคนเรานั้น เมื่อเจ็บป่วยขึ้นมา การเยียวยารักษาก็เป็นเรื่องหนึ่ง ส่วนอีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากันแม้แต่น้อย คือการเรียนรู้ที่จะรับมือกับมันอย่างถูกต้อง ข้อเขียนของท่านอาจารย์จะช่วยได้มากในเรื่องหลังนี้
แถมถ้าปฏิบัติได้ดีพอ ถึงยังไม่หายขาด ก็จะสามารถมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้
หวังว่า คุณป้าจะได้อ่านบทความนี้ รวมทั้งท่านอื่นๆ ไม่ว่าจะเจ็บป่วยอยู่หรือไม่ก็ตาม ถ้าได้อ่าน ได้ทำความเข้าใจ และลงมือปฏิบัติ จนถึงขั้น 'ปล่อยวาง' ได้จริงๆ คงต้องได้รับประโยชน์บ้าง ไม่มากก็น้อย
อานิสงส์จากการเผยแพร่ธรรมะนี้ ขอมอบให้คุณป้าทั้งหมด เพื่อเป็นกำลังใจในการรับมือกับโรคร้ายนี้
และขอให้ท่านหายไวๆ เพื่อเป็นกำลังใจให้พวกเราต่อไป
----------------------
@ กลัวความเจ็บปวด @
ความกลัวเป็นส่วนประกอบสำคัญของความเจ็บปวด มันทำให้ความเจ็บปวดเป็นทุกข์ยิ่งขึ้น ถ้าตัดความกลัวออกเสีย ก็จะเหลือแต่ความรู้สึกเจ็บจริงๆเท่านั้น เมื่อประมาณปีพ.ศ.๒๕๒๐ ที่วัดป่าที่แสนจะยากจนและอยู่ห่างไกลชุมชนในภาคอีสานของไทย อาตมาเกิดปวดฟันอย่างหนัก ที่นั่นไม่มีหมอฟันที่จะไปให้รักษา ไม่มีโทรศัพท์และไม่มีไฟฟ้า ไม่มียาแอสไพริน ยาพารา หรือยาแก้ปวดใดๆ ในตู้ยา พระป่าต้องอดทน
เช่นที่เกิดเสมอๆ กับอาการเจ็บไข้ได้ป่วย ในช่วงหัวค่ำอาการปวดฟันของอาตมาก็กำเริบหนักขี้นเรื่อยๆ อาตมาเห็นว่าตนเองเป็นพระที่ค่อนข้างจะอดทนองค์หนึ่ง แต่อาการปวดฟันนี่มันช่างทดสอบความเข้มแข็งของอาตมาเสียจริงๆ ปากข้างหนึ่งของอาตมาอัดแน่นไปด้วยความเจ็บปวด มันเป็นการปวดฟันที่หนักหนาสากรรจ์ที่สุดเท่าที่อาตมาเคยประสบมาในชีวิต อาตมาพยายามจะหนีจากความเจ็บปวดด้วยการภาวนา อาตมาเคยเรียนรู้ที่จะกำหนดอยู่กับลมหายใจขณะที่กำลังถูกยุงรุมกัด บางครั้งอาตมานับได้ถึงสี่สิบตัวบนร่างของอาตมา และอาตมาก็เคยเอาชนะอารมณ์หนึ่งด้วยการจดจ่ออยู่ที่สิ่งอื่น แต่ความเจ็บปวดครั้งนี้มันเหลือเชื่อจริงๆ อาตมาสามารถจดจ่ออยู่กับลมหายใจได้เพียงสองสามวินาทีเท่านั้น เจ้าความเจ็บปวดก็เตะประตูจิตที่อาตมาพยายามปิดไว้เข้ามาอาละวาดอย่างรุนแรงทีเดียว
อาตมาลุกขึ้นออกไปพยายามเดินจงกรมข้างนอก ในไม่ช้าก็ต้องยกเลิกการเดินจงกรมเช่นกัน อาตมาไม่ได้ 'เดินจงกรม' แต่อาตมากำลัง 'วิ่งจงกรม' อาตมาไม่สามารถเดินช้าๆ อย่างมีสติ เจ้าความเจ็บปวดมันบังคับอาตมาให้วิ่ง แต่ก็ไม่รู้จะวิ่งไปไหน อาตมากำลังทุกข์ทรมานอย่างหนัก และกำลังจะเป็นบ้า
อาตมาวิ่งกลับมาที่กุฏิ นั่งลงและเริ่มสวดมนต์ ใครๆ เขาว่าบทสวดมนต์ของพุทธศาสนามีพลังศักดิ์สิทธิ์ สามารถนำมาซึ่งความโชคดีและทรัพย์สมบัติ ขับไล่สัตว์ร้าย และรักษาโรคภัยตลอดจนความเจ็บปวด อาตมาไม่เชื่อหรอก เพราะอาตมาถูกฝึกมาให้เป็นนักวิทยาศาสตร์ คาถาเวทย์มนตร์เป็นเรื่องหลอกลวง ใช้ได้กับคนที่หลงเชื่ออะไรง่ายๆ ได้เท่านั้น แต่อาตมาตั้งต้นสวดมนต์ด้วยความหวังเหนือเหตุผลใดๆ ว่าสิ่งนี้จะช่วยอาตมาได้่ อาตมากำลังเข้าตาจน แต่ในที่สุดอาตมาก็ต้องหยุดสวดมนต์อีก อาตมากำลังตะโกนและกรีดเสียงต่างหาก ตอนนั้นเป็นเวลาดึกแล้ว และอาตมากลัวว่าเสียงของอาตมาจะปลุกพระองค์อื่นๆ วิธีตะโกนท่องบทสวดแบบนั้นจะสามารถปลุกคนทั้งหมู่บ้านที่อยู่ห่างออกไปสองสามกิโเมตรได้ทีเดียว อำนาจของความเจ็บปวดทำให้อาตมาไม่สามารถสวดมนต์แบบปกติได้
อาตมาอยู่คนเดียวเป็นพันๆ ไมล์จากบ้านเกิดของอาตมา ในป่าที่ไกลโพ้นปราศจากเครื่องช่วยอำนวยความสะดวกใดๆ อยู่กับความเจ็บปวดที่สุดจะทนทานและหนีไม่พ้น อาตมาทดลองทุกวิถีทางเท่าที่อาตมาจะนึกได้ ทุกอย่างจริงๆ อาตมาไม่ไหวแล้ว มันเป็นเช่นนั้นนะ
นาทีแห่งภาวะสิ้นหวังสุดๆ เช่นนี้กลับช่วยเปิดประตูแห่งปัญญา ประตูที่เราจะไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิตปกติของเรา เมื่อประตูบานนั้นเปิดอ้าต้อนรับอาตมา อาตมาจึงได้ผ่านเข้าไป ขอบอกตรงๆว่า มันไม่มีทางเลือกอื่นจริงๆ
อาตมาจำคำสองคำสั้นๆ ได้อย่างไม่มีวันลืม 'ปล่อยวาง' ก่อนหน้านี้อาตมาเคยได้ยินคำๆ นี้มาหลายครั้งหลายหน อาตมาเคยชี้แจงความหมายของมันให้เพื่อนๆ ฟังเสียด้วยซ้ำ
อาตมาคิดว่าเข้าใจความหมายของมัน แต่กลับเป็นความเข้าใจผิด อาตมาเต็มใจที่จะลองทุกสิ่งทุกอย่าง ฉะนั้นอาตมาจึงพยายามปล่อยวาง ปล่อยวางชนิดร้อยเปอร์เซ็นต์ เป็นครั้งแรกในชีวิตเลยทีเดียวที่อาตมาสามารถปล่อยวางได้โดยแท้จริง
สิ่งที่เกิดขึ้นต่อมาทำให้อาตมาถึงกับสะดุ้ง ความเจ็บปวดสุดจะทนทานนั้นอันตรธานไปในทันที มันถูกแทนที่ด้วยปีติสุดจะดื่มด่ำ ซึ่งวูบวาบในกายของอาตมาระลอกแล้วระลอกเล่า จิตของอาตมาเข้าสู่ภาวะแห่งความสงบล้ำลึก นิ่ง และเป็นสุขยิ่งนัก บัดนี้อาตมาเข้าสมาธิได้ง่ายๆ โดยไม่ต้องใช้ความพยายามอะไรเลย เมื่ออกจากสมาธิตอนเช้ามืด อาตมาล้มตัวลงนอนพักผ่อน อาตมาก็หลับสนิทอย่างสงบสุข และเมื่อตื่นขึ้นมาเพื่อทำกิจวัตรประจำวัน อาตมายังรู้สึกปวดฟันอยู่ แต่ไม่มีอะไรเทียบเท่ากับค่ำคืนที่่ผ่านมาได้เลย
@ ปล่อยวางความเจ็บปวด @
ในเรื่องที่แล้ว สิ่งที่อาตมาได้ปล่อยวาง คือ ความกลัวความเจ็บปวดจากการปวดฟัน เมื่ออาตมายินดีต้อนรับความเจ็บปวด ยอมรับมัน และยินยอมให้มันอยู่โดยไม่พยายามขับไล่ไสส่ง นั่นเป็นเหตุให้มันผ่านพ้นไป
เพื่อนหลายคนของอาตมาที่เคยเจ็บปวดอย่างหนักได้ทดลองวิธีการของอาตมาและพบว่ามันไม่ได้ผล เขาจึงมาต่อว่าและบอกว่าที่อาตมาปวดฟันนั้นน่ะเทียบกันไม่ได้เลยกับความเจ็บปวดของเขา นั่นย่อมไม่ถูกต้อง ความเจ็บปวดเป็นเรื่องเฉพาะตนและวัดไม่ได้ อาตมาได้อธิบายให้เพื่อนๆ ฟังว่า ทำไมการปล่อยวางจึงไม่ได้ผลสำหรับเขา โดยเล่าเรื่องลูกศิษย์สามคนของอาตมาให้เขาฟัง
ลูกศิษย์คนแรกกำลังเจ็บปวดมากและพยายามจะปล่อยวาง
"ปล่อยวาง" เสียงแนะนำเบาๆและรอ
"ปล่อยวาง!" เสียงบอกซ้ำเมื่อยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
"ปล่อยวางแค่นั้นแหละ!"
"น่า...ปล่อยวางวางซะ"
"ฉันบอกให้ปล่อยวางไง!"
"ปล่อยวาง!"
เราอาจเห็นว่ามันตลก แต่นั่นแหละเป็นสิ่งที่พวกเราทุกคนทำอยู่เกือบตลอดเวลา เราปล่อยวางผิดรื่องเราควรจะปล่อยวางตัวตนที่บอกให้เรา 'ปล่อยวาง' ต่างหาก เราควรที่จะปล่อยวาง 'ตัวบงการ' ที่มันอยู่ในตัวเรา ซึ่งเราทุกคนก็รู้ว่ามันเป็นใคร การปล่อยวางหมายถึงการไม่มี 'ตัวบงการ'
ลูกศิษย์คนที่สองกำลังเจ็บปวดรุนแรง เขาจำคำสอนของอาตมาได้และจะปล่อยวางตัวบงการนั้น เขานั่งอยู่กับความเจ็บปวด เข้าใจว่ากำลังปล่อยวาง อีกสิบนาทีต่อมาความเจ็บปวดก็ยังคงอยู่เช่นเดิม เขาเริ่มบ่นว่าการปล่อยวางไม่ได้ผล อาตมาจึงอธิบายว่าการปล่อยวางไม่ใช่วิธีการกำจัดความเจ็บปวด มันเป็นวิธีการที่จะเป็นอิสระจากความเจ็บปวดต่างหาก ศิษย์คนที่สองนี้พยายามที่จะจัดการกับความเจ็บปวดทำนองว่า "ฉันจะปล่อยวางสักสิบนาทีแล้ว แก...เจ้าความเจ็บปวดจะต้องหายไป ตกลงมั้ย?"
นั่นไม่ใช่การปล่อยวางความเจ็บปวด แต่เป็นความพยายามที่จะกำจัดความเจ็บปวดต่างหาก
ลูกศิษย์คนที่สามกำลังเจ็บปวดอย่างหนัก เขาพูดกับเจ้าความเจ็บปวดประมาณว่า "เจ้าความเจ็บปวดเอ๋ย ประตูใจของฉันเปิดรับเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะทำฉันจ็บปวดขนาดไหนก็ตาม จงเข้ามาเถอะ"
ลูกศิษย์คนที่สามเต็มใจยินยอมให้ความเจ็บปวดคงอยู่ต่อไปนานเท่าที่มันต้องการแม้จนตลอดชีวิตก็ตาม แม้จะต้องเจ็บยิ่งขึ้นเขาก็ยอม เขาให้อิสระแก่ความเจ็บปวด ล้มเลิกความพยายามที่จะควบคุมมัน นั่นแหละคือการปล่อยวาง บัดนี้ไม่ว่าความเจ็บปวดจะอยู่หรือไป มันก็มีค่าเท่ากันสำหรับเขา เมื่อนั้นแหละความทุกข์จากความเจ็บปวดจะหายไป
----------------------
มีเรื่องเล่าว่า เมื่อหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ทราบว่าพระอุปัชฌาย์ของท่าน คือพระอาจารย์เสาร์ กันตสีโล ป่วยหนักและได้รับความเจ็บปวดทรมานแสนสาหัส ถึงแม้ท่านจะไม่สามารถไป
ปรนนิบัติได้ แต่ก็ได้ส่งสาส์นไปบอกสั้นๆ ว่า
"อย่าต่อสู้กับมัน"
เท่านั้นเอง พระอาจารย์เสาร์ก็เข้าใจ และพ้นจากความทรมานเป็นปลิดทิ้ง
วโรทาห์: 6 ก.ย. 53
ก็แน่หละ จะมีคนไทยสักกี่คน ที่ทนอ่านสื่อสวะพวกนั้นได้ ถ้าไม่ใช่ป้าอุ๊
พอได้ข่าวว่าป้าอุ๊ผู้มีจิตใจอันงดงาม ต้องมาป่วยเป็นมะเร็งขั้นร้ายแรง ก็เล่นเอาใจหายวาบ นึกไม่ถึงว่า ขนาดบุญกุศลที่สั่งสมมาถึงเพียงนี้ ยังไม่สามารถคุ้มครอง "พี่ผู้มีแต่ให้" ของพวกเราได้
เป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์ว่า สวรรค์ไม่ได้มีตาอย่างที่เราเคยเข้าใจกัน จึงอย่าได้คาดหวังว่า ทำดีแล้วจะมีเทวดามาปกปักรักษา เพราะแม้แต่เทวดาเองยังเจียนอยู่เจียนไป สิ้นบุญเมื่อไหร่ก็ดิ่งนรกตกเหว ไม่ได้ผุดได้เกิดเป็นเหมือนกัน
บังเอิญวันนี้ได้อ่านหนังสือที่เขียนโดยท่าน"อาจารย์พรหม" ซึ่งเป็นชาวอังกฤษ ที่มาบวชเป็นพระป่า ในสายของท่านอาจารย์ชา สุภัทโท ในบทที่พูดถึงการระงับความปวดโดยไม่ต้องพึ่งยา ซึ่งได้ผลชะงัดนัก
จึงเห็นช่องว่า เป็นโอกาสดีที่จะได้คัดลอกมาให้คุณป้าได้อ่าน เป็นการตอบแทน ที่ท่านอุตส่าห์นั่งหลังขดหลังแข็ง คีย์คอมพ์ให้พวกเราได้เสพข่าวมาตั้งนานนม
เพราะว่าคนเรานั้น เมื่อเจ็บป่วยขึ้นมา การเยียวยารักษาก็เป็นเรื่องหนึ่ง ส่วนอีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากันแม้แต่น้อย คือการเรียนรู้ที่จะรับมือกับมันอย่างถูกต้อง ข้อเขียนของท่านอาจารย์จะช่วยได้มากในเรื่องหลังนี้
แถมถ้าปฏิบัติได้ดีพอ ถึงยังไม่หายขาด ก็จะสามารถมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้
หวังว่า คุณป้าจะได้อ่านบทความนี้ รวมทั้งท่านอื่นๆ ไม่ว่าจะเจ็บป่วยอยู่หรือไม่ก็ตาม ถ้าได้อ่าน ได้ทำความเข้าใจ และลงมือปฏิบัติ จนถึงขั้น 'ปล่อยวาง' ได้จริงๆ คงต้องได้รับประโยชน์บ้าง ไม่มากก็น้อย
อานิสงส์จากการเผยแพร่ธรรมะนี้ ขอมอบให้คุณป้าทั้งหมด เพื่อเป็นกำลังใจในการรับมือกับโรคร้ายนี้
และขอให้ท่านหายไวๆ เพื่อเป็นกำลังใจให้พวกเราต่อไป
----------------------
@ กลัวความเจ็บปวด @
ความกลัวเป็นส่วนประกอบสำคัญของความเจ็บปวด มันทำให้ความเจ็บปวดเป็นทุกข์ยิ่งขึ้น ถ้าตัดความกลัวออกเสีย ก็จะเหลือแต่ความรู้สึกเจ็บจริงๆเท่านั้น เมื่อประมาณปีพ.ศ.๒๕๒๐ ที่วัดป่าที่แสนจะยากจนและอยู่ห่างไกลชุมชนในภาคอีสานของไทย อาตมาเกิดปวดฟันอย่างหนัก ที่นั่นไม่มีหมอฟันที่จะไปให้รักษา ไม่มีโทรศัพท์และไม่มีไฟฟ้า ไม่มียาแอสไพริน ยาพารา หรือยาแก้ปวดใดๆ ในตู้ยา พระป่าต้องอดทน
เช่นที่เกิดเสมอๆ กับอาการเจ็บไข้ได้ป่วย ในช่วงหัวค่ำอาการปวดฟันของอาตมาก็กำเริบหนักขี้นเรื่อยๆ อาตมาเห็นว่าตนเองเป็นพระที่ค่อนข้างจะอดทนองค์หนึ่ง แต่อาการปวดฟันนี่มันช่างทดสอบความเข้มแข็งของอาตมาเสียจริงๆ ปากข้างหนึ่งของอาตมาอัดแน่นไปด้วยความเจ็บปวด มันเป็นการปวดฟันที่หนักหนาสากรรจ์ที่สุดเท่าที่อาตมาเคยประสบมาในชีวิต อาตมาพยายามจะหนีจากความเจ็บปวดด้วยการภาวนา อาตมาเคยเรียนรู้ที่จะกำหนดอยู่กับลมหายใจขณะที่กำลังถูกยุงรุมกัด บางครั้งอาตมานับได้ถึงสี่สิบตัวบนร่างของอาตมา และอาตมาก็เคยเอาชนะอารมณ์หนึ่งด้วยการจดจ่ออยู่ที่สิ่งอื่น แต่ความเจ็บปวดครั้งนี้มันเหลือเชื่อจริงๆ อาตมาสามารถจดจ่ออยู่กับลมหายใจได้เพียงสองสามวินาทีเท่านั้น เจ้าความเจ็บปวดก็เตะประตูจิตที่อาตมาพยายามปิดไว้เข้ามาอาละวาดอย่างรุนแรงทีเดียว
อาตมาลุกขึ้นออกไปพยายามเดินจงกรมข้างนอก ในไม่ช้าก็ต้องยกเลิกการเดินจงกรมเช่นกัน อาตมาไม่ได้ 'เดินจงกรม' แต่อาตมากำลัง 'วิ่งจงกรม' อาตมาไม่สามารถเดินช้าๆ อย่างมีสติ เจ้าความเจ็บปวดมันบังคับอาตมาให้วิ่ง แต่ก็ไม่รู้จะวิ่งไปไหน อาตมากำลังทุกข์ทรมานอย่างหนัก และกำลังจะเป็นบ้า
อาตมาวิ่งกลับมาที่กุฏิ นั่งลงและเริ่มสวดมนต์ ใครๆ เขาว่าบทสวดมนต์ของพุทธศาสนามีพลังศักดิ์สิทธิ์ สามารถนำมาซึ่งความโชคดีและทรัพย์สมบัติ ขับไล่สัตว์ร้าย และรักษาโรคภัยตลอดจนความเจ็บปวด อาตมาไม่เชื่อหรอก เพราะอาตมาถูกฝึกมาให้เป็นนักวิทยาศาสตร์ คาถาเวทย์มนตร์เป็นเรื่องหลอกลวง ใช้ได้กับคนที่หลงเชื่ออะไรง่ายๆ ได้เท่านั้น แต่อาตมาตั้งต้นสวดมนต์ด้วยความหวังเหนือเหตุผลใดๆ ว่าสิ่งนี้จะช่วยอาตมาได้่ อาตมากำลังเข้าตาจน แต่ในที่สุดอาตมาก็ต้องหยุดสวดมนต์อีก อาตมากำลังตะโกนและกรีดเสียงต่างหาก ตอนนั้นเป็นเวลาดึกแล้ว และอาตมากลัวว่าเสียงของอาตมาจะปลุกพระองค์อื่นๆ วิธีตะโกนท่องบทสวดแบบนั้นจะสามารถปลุกคนทั้งหมู่บ้านที่อยู่ห่างออกไปสองสามกิโเมตรได้ทีเดียว อำนาจของความเจ็บปวดทำให้อาตมาไม่สามารถสวดมนต์แบบปกติได้
อาตมาอยู่คนเดียวเป็นพันๆ ไมล์จากบ้านเกิดของอาตมา ในป่าที่ไกลโพ้นปราศจากเครื่องช่วยอำนวยความสะดวกใดๆ อยู่กับความเจ็บปวดที่สุดจะทนทานและหนีไม่พ้น อาตมาทดลองทุกวิถีทางเท่าที่อาตมาจะนึกได้ ทุกอย่างจริงๆ อาตมาไม่ไหวแล้ว มันเป็นเช่นนั้นนะ
นาทีแห่งภาวะสิ้นหวังสุดๆ เช่นนี้กลับช่วยเปิดประตูแห่งปัญญา ประตูที่เราจะไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิตปกติของเรา เมื่อประตูบานนั้นเปิดอ้าต้อนรับอาตมา อาตมาจึงได้ผ่านเข้าไป ขอบอกตรงๆว่า มันไม่มีทางเลือกอื่นจริงๆ
อาตมาจำคำสองคำสั้นๆ ได้อย่างไม่มีวันลืม 'ปล่อยวาง' ก่อนหน้านี้อาตมาเคยได้ยินคำๆ นี้มาหลายครั้งหลายหน อาตมาเคยชี้แจงความหมายของมันให้เพื่อนๆ ฟังเสียด้วยซ้ำ
อาตมาคิดว่าเข้าใจความหมายของมัน แต่กลับเป็นความเข้าใจผิด อาตมาเต็มใจที่จะลองทุกสิ่งทุกอย่าง ฉะนั้นอาตมาจึงพยายามปล่อยวาง ปล่อยวางชนิดร้อยเปอร์เซ็นต์ เป็นครั้งแรกในชีวิตเลยทีเดียวที่อาตมาสามารถปล่อยวางได้โดยแท้จริง
สิ่งที่เกิดขึ้นต่อมาทำให้อาตมาถึงกับสะดุ้ง ความเจ็บปวดสุดจะทนทานนั้นอันตรธานไปในทันที มันถูกแทนที่ด้วยปีติสุดจะดื่มด่ำ ซึ่งวูบวาบในกายของอาตมาระลอกแล้วระลอกเล่า จิตของอาตมาเข้าสู่ภาวะแห่งความสงบล้ำลึก นิ่ง และเป็นสุขยิ่งนัก บัดนี้อาตมาเข้าสมาธิได้ง่ายๆ โดยไม่ต้องใช้ความพยายามอะไรเลย เมื่ออกจากสมาธิตอนเช้ามืด อาตมาล้มตัวลงนอนพักผ่อน อาตมาก็หลับสนิทอย่างสงบสุข และเมื่อตื่นขึ้นมาเพื่อทำกิจวัตรประจำวัน อาตมายังรู้สึกปวดฟันอยู่ แต่ไม่มีอะไรเทียบเท่ากับค่ำคืนที่่ผ่านมาได้เลย
@ ปล่อยวางความเจ็บปวด @
ในเรื่องที่แล้ว สิ่งที่อาตมาได้ปล่อยวาง คือ ความกลัวความเจ็บปวดจากการปวดฟัน เมื่ออาตมายินดีต้อนรับความเจ็บปวด ยอมรับมัน และยินยอมให้มันอยู่โดยไม่พยายามขับไล่ไสส่ง นั่นเป็นเหตุให้มันผ่านพ้นไป
เพื่อนหลายคนของอาตมาที่เคยเจ็บปวดอย่างหนักได้ทดลองวิธีการของอาตมาและพบว่ามันไม่ได้ผล เขาจึงมาต่อว่าและบอกว่าที่อาตมาปวดฟันนั้นน่ะเทียบกันไม่ได้เลยกับความเจ็บปวดของเขา นั่นย่อมไม่ถูกต้อง ความเจ็บปวดเป็นเรื่องเฉพาะตนและวัดไม่ได้ อาตมาได้อธิบายให้เพื่อนๆ ฟังว่า ทำไมการปล่อยวางจึงไม่ได้ผลสำหรับเขา โดยเล่าเรื่องลูกศิษย์สามคนของอาตมาให้เขาฟัง
ลูกศิษย์คนแรกกำลังเจ็บปวดมากและพยายามจะปล่อยวาง
"ปล่อยวาง" เสียงแนะนำเบาๆและรอ
"ปล่อยวาง!" เสียงบอกซ้ำเมื่อยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
"ปล่อยวางแค่นั้นแหละ!"
"น่า...ปล่อยวางวางซะ"
"ฉันบอกให้ปล่อยวางไง!"
"ปล่อยวาง!"
เราอาจเห็นว่ามันตลก แต่นั่นแหละเป็นสิ่งที่พวกเราทุกคนทำอยู่เกือบตลอดเวลา เราปล่อยวางผิดรื่องเราควรจะปล่อยวางตัวตนที่บอกให้เรา 'ปล่อยวาง' ต่างหาก เราควรที่จะปล่อยวาง 'ตัวบงการ' ที่มันอยู่ในตัวเรา ซึ่งเราทุกคนก็รู้ว่ามันเป็นใคร การปล่อยวางหมายถึงการไม่มี 'ตัวบงการ'
ลูกศิษย์คนที่สองกำลังเจ็บปวดรุนแรง เขาจำคำสอนของอาตมาได้และจะปล่อยวางตัวบงการนั้น เขานั่งอยู่กับความเจ็บปวด เข้าใจว่ากำลังปล่อยวาง อีกสิบนาทีต่อมาความเจ็บปวดก็ยังคงอยู่เช่นเดิม เขาเริ่มบ่นว่าการปล่อยวางไม่ได้ผล อาตมาจึงอธิบายว่าการปล่อยวางไม่ใช่วิธีการกำจัดความเจ็บปวด มันเป็นวิธีการที่จะเป็นอิสระจากความเจ็บปวดต่างหาก ศิษย์คนที่สองนี้พยายามที่จะจัดการกับความเจ็บปวดทำนองว่า "ฉันจะปล่อยวางสักสิบนาทีแล้ว แก...เจ้าความเจ็บปวดจะต้องหายไป ตกลงมั้ย?"
นั่นไม่ใช่การปล่อยวางความเจ็บปวด แต่เป็นความพยายามที่จะกำจัดความเจ็บปวดต่างหาก
ลูกศิษย์คนที่สามกำลังเจ็บปวดอย่างหนัก เขาพูดกับเจ้าความเจ็บปวดประมาณว่า "เจ้าความเจ็บปวดเอ๋ย ประตูใจของฉันเปิดรับเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะทำฉันจ็บปวดขนาดไหนก็ตาม จงเข้ามาเถอะ"
ลูกศิษย์คนที่สามเต็มใจยินยอมให้ความเจ็บปวดคงอยู่ต่อไปนานเท่าที่มันต้องการแม้จนตลอดชีวิตก็ตาม แม้จะต้องเจ็บยิ่งขึ้นเขาก็ยอม เขาให้อิสระแก่ความเจ็บปวด ล้มเลิกความพยายามที่จะควบคุมมัน นั่นแหละคือการปล่อยวาง บัดนี้ไม่ว่าความเจ็บปวดจะอยู่หรือไป มันก็มีค่าเท่ากันสำหรับเขา เมื่อนั้นแหละความทุกข์จากความเจ็บปวดจะหายไป
----------------------
มีเรื่องเล่าว่า เมื่อหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ทราบว่าพระอุปัชฌาย์ของท่าน คือพระอาจารย์เสาร์ กันตสีโล ป่วยหนักและได้รับความเจ็บปวดทรมานแสนสาหัส ถึงแม้ท่านจะไม่สามารถไป
ปรนนิบัติได้ แต่ก็ได้ส่งสาส์นไปบอกสั้นๆ ว่า
"อย่าต่อสู้กับมัน"
เท่านั้นเอง พระอาจารย์เสาร์ก็เข้าใจ และพ้นจากความทรมานเป็นปลิดทิ้ง
วโรทาห์: 6 ก.ย. 53
Subscribe to:
Posts (Atom)